แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 เป็นชาวญวนอพยพ ไม่มีสัญชาติไทยและไม่เคยมีบัตรประจำตัวประชาชน ได้แจ้งความเท็จต่อพนักงานสอบสวนว่าบัตรประจำตัวประชาชนหาย แล้วนำหลักฐานที่พนักงานสอบสวนออกให้ไปยื่นคำขอมีบัตรประจำตัวประชาชนใหม่ โดยแจ้งข้อความเท็จต่อเจ้าพนักงานเขตบางกอกน้อยว่าตนมีสัญชาติไทย และแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในบัตรประจำตัวประชาชนอันเป็นเอกสารราชการ เพื่อใช้เป็นพยานหลักฐานในการแสดงตัวบุคคลซึ่งเป็นการกระทำต่อเนื่องกัน โดยมีเจตนาเดียวกันเพื่อให้ทางราชการออกบัตรประจำตัวประชาชนให้ ถือได้ว่าเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137,267 และพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ. 2526 มาตรา 14 ต้องลงโทษตามพระราชบัญญัติ บัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ. 2526 มาตรา 14ซึ่งเป็นบทหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 137, 267, 268 พระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชนพ.ศ. 2526 มาตรา 14 และริบของกลาง จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137, 267, 268 พระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ. 2526มาตรา 14 การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรม ให้เรียงกระทงลงโทษ กระทงที่ 1 (ตามฟ้องข้อ ข.) เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 วางโทษจำคุก 2 เดือน กระทงที่ 2(ตามฟ้องข้อ ค.) เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137พระราชบัญญัติ บัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ. 2526 มาตรา 14 ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ. 2526 มาตรา 14ซึ่งเป็นบทหนัก วางโทษจำคุก 8 เดือน กระทงที่ 3 (ตามฟ้องข้อ ค.)เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 267 ให้ลงโทษตามมาตรา 267 ซึ่งเป็นบทหนัก กระทงที่ 4 (ตามฟ้องข้อ ง.)เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 จำเลยที่ 1 เป็นผู้แจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความเท็จตามกระทงที่ 3 และเป็นผู้ใช้เอกสารนั้นตามกระทงที่ 4 จึงให้ลงโทษตามกระทงที่ 4 แต่กระทงเดียวตามมาตรา 268 ประกอบมาตรา 267 วางโทษจำคุก 6 เดือนรวมจำคุก 1 ปี 4 เดือน ให้ริบของกลาง ส่วนจำเลยที่ 2 ให้ยกฟ้องคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยกเสีย จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้องโจทก์กระทงที่ 1 (ตามฟ้องข้อ ข.) ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 กระทงที่ 2 (ตามฟ้องข้อ ค.)ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 และตามพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ. 2526 มาตรา 14 และกระทงที่ 3 (ตามฟ้องข้อ ค.)ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 267 ด้วย ส่วนกระทงที่ 4(ตามฟ้องข้อ ง.) จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 268 วรรคแรก ให้จำคุก 6 เดือน จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนมีประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้วคงจำคุก 4 เดือน ให้ยกฟ้องโจทก์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 267 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “จำเลยที่ 1 เป็นชาวญวนอพยพ ไม่มีสัญชาติไทยและไม่เคยมีบัตรประจำตัวประชาชน ข้อเท็จจริงเป็นอันฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ได้แจ้งความเท็จต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลบางกอกน้อย ว่าบัตรประจำตัวประชาชนหาย แล้วยื่นคำขอมีบัตรประจำตัวประชาชนใหม่โดยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานว่า ตนมีสัญชาติไทย และแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในบัตรประจำตัวประชาชนอันเป็นเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์ที่จะใช้เป็นพยานหลักฐานในการแสดงตัวบุคคลดังที่โจทก์ฟ้อง ฎีกาโจทก์ในปัญหาข้อนี้ฟังขึ้น
ส่วนปัญหาว่า จำเลยที่ 1 แสดงบัตรประจำตัวประชาชนของกลางต่อพันตำรวจโทเปรม สุจริตกุล กับพวก หรือไม่นั้นศาลฎีกาเห็นว่าคำเบิกความของพยานโจทก์ในปัญหาข้อนี้ขัดกับข้อเท็จจริงที่ได้ความตามบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.17 ที่ว่าผลการตรวจค้นไม่พบสิ่งของผิดกฎหมาย ต่อมาได้พบว่า จำเลยที่ 1หนีบ กระเป๋าของกลางหมายเลข 1 ไว้ในลักษณะมีพิรุธ จึงขอทำการตรวจค้น ผลการตรวจค้นพบบัตรประจำตัวประชาชนหมายเลข 2และ 3 (คือบัตรประจำตัวประชาชนทั้งสองฉบับที่กล่าวมาแล้ว) อยู่ในกระเป๋าหนีบที่จำเลยที่ 1 ถือติดตัว ดังนี้จึงยังฟังข้อเท็จจริงไม่ได้ว่า จำเลยที่ 1 ได้แสดงบัตรประจำตัวประชาชนที่ทางราชการเขตบางกอกน้อยออกให้ต่อพันตำรวจโทเปรมกับพวกดังที่โจทก์ฟ้องส่วนปัญหาว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดและจะลงโทษจำเลยที่ 1ตามฟ้องได้หรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยแม้คดีจะไม่มีประเด็นขึ้นมาสู่ศาลฎีกาโดยตรงเพราะจำเลยที่ 1มิได้ฎีกาก็ตาม ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัย
คดีมีปัญหาต่อไปว่า จะลงโทษจำเลยที่ 1 ทุกกรรมในกระทงความผิดไปตามที่โจทก์ฎีกาได้หรือไม่ ข้อนี้ศาลฎีกาเห็นว่าการที่จำเลยที่ 1 แจ้งความเท็จต่อพนักงานสอบสวนตลอดถึงเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจหน้าที่ในการออกบัตรประจำตัวประชาชน เป็นการกระทำต่อเนื่องมีเจตนาเดียวที่จะให้ทางราชการออกบัตรประจำตัวประชาชนให้เท่านั้น ซึ่งพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ. 2526มาตรา 14 ได้บัญญัติเป็นความผิดไว้โดยเฉพาะแล้วจึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท หาใช่ต่างกรรมต่างวาระดังที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษไม่”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137, 267 และพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ. 2526มาตรา 14 ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชนพ.ศ. 2526 มาตรา 14 ซึ่งเป็นบทหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 ให้จำคุก 8 เดือน โดยไม่ลดโทษ ฟ้องโจทก์ฐานใช้เอกสารดังกล่าวให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์