คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 888/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยนำสมุดเงินฝากของธนาคารมาเป็นหลักฐานประกันในการขอทุเลาการบังคับคดีระหว่างฎีกาศาลชั้นต้นมีหนังสือห้ามจำเลยถอนเงินจากสมุดเงินฝากดังกล่าวสมุดเงินฝากของธนาคารซึ่งจำเลยนำมาวางต่อศาลชั้นต้นเป็นเพียงหลักประกันในการขอทุเลาการบังคับคดีระหว่างฎีกาเท่านั้นว่าจำเลยมีทรัพย์สินพอที่จะชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้โจทก์สมุดเงินฝากดังกล่าวจึงมิใช่เป็นตัวเงินซึ่งจำเลยนำมาวางต่อศาลเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาแม้จำเลยแถลงต่อศาลขอชำระหนี้โดยยอมให้โจทก์รับเงินฝากดังกล่าวไปจากศาลชั้นต้นได้ก็ตามโจทก์ไม่อาจขอให้ศาลมีคำสั่งให้ธนาคารจ่ายเงินตามสมุดเงินฝากนั้นให้โจทก์ได้วิธีการที่ศาลจะให้ธนาคารส่งเงินตามสมุดเงินฝากมาเพื่อจ่ายให้โจทก์จำต้องดำเนินการตามหมายบังคับคดีถือไม่ได้ว่าจำเลยชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์ ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าเมื่อจำเลยแถลงต่อศาลขอให้โจทก์รับเงินจากสมุดเงินฝากดังกล่าวไปจากศาลชั้นต้นย่อมเป็นการโอนสิทธิเรียกร้องให้โจทก์แล้วหนี้ตามคำพิพากษาย่อมระงับโจทก์จึงไม่อาจบังคับคดีแก่จำเลยได้อีกนั้นประเด็นข้อนี้จำเลยมิได้อุทธรณ์ไว้จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคแรก

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 1,656,131.25 บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน1,540,587.25 บาท นับแต่วันที่ 26 ธันวาคม 2532 จนกว่าจะชำระเสร็จให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกาแทนโจทก์ 1,000 บาท ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาและออกคำบังคับให้จำเลยที่ 2 ชำระหนี้ตามคำพิพากษาภายใน 30 วัน ครบกำหนดแล้วจำเลยที่ 2 ไม่ปฏิบัติตามคำบังคับ ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีตามคำขอของโจทก์ให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดอายัดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา จำเลยที่ 2ยื่นคำแถลงต่อศาลชั้นต้นขอชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้โจทก์โดยให้โจทก์รับเงินฝากประจำของจำเลยที่ 2 ที่ธนาคารกรุงไทย จำกัดสาขาบางปู ซึ่งจำเลยที่ 2 ได้นำสมุดเงินฝากตามบัญชีธนาคารดังกล่าวมาวางเป็นหลักประกันต่อศาลชั้นต้นในชั้นขอทุเลาการบังคับคดีระหว่างอุทธรณ์และฎีกาไว้แล้ว และจำเลยได้วางเงินสดอีกจำนวน 23,486.23 บาท รวมเป็นเงินตามจำนวนหนี้ครบ2,284,867.75 บาท แล้วให้โจทก์รับเงินดังกล่าวไปจากศาลได้ศาลชั้นต้นสั่งรับเงินสดที่จำเลยวางจำนวน 23,486.23 บาท ไว้และให้โจทก์ทราบคำแถลงดังกล่าวของจำเลยที่ 2 แล้ว ต่อมาเจ้าพนักงานบังคับคดีขอให้ศาลชั้นต้นส่งสมุดเงินฝากและเงินสดตามคำแถลงของจำเลยที่ 2 ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อดำเนินการต่อไปศาลชั้นต้นจัดการส่งให้ตามคำขอของเจ้าพนักงานบังคับคดีแล้ว
จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องว่า เมื่อโจทก์ทราบคำแถลงของจำเลยที่ 2ที่ขอชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้โจทก์ดังกล่าวแล้วโจทก์ชอบที่จะแถลงขอให้ศาลสั่งเบิกเงินจากบัญชีจำเลยที่ 2 และรับเงินจำนวนเท่าที่จะได้รับตามคำพิพากษาไปจากศาลได้ การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการขอให้ศาลส่งสมุดเงินฝากและเงินสดของจำเลยที่ 2 ไปยังสำนักงานบังคับคดีเพื่อดำเนินการบังคับคดี อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่จำเลยที่ 2 ขอให้สั่งถอนการบังคับคดี
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว มีคำสั่งว่า กรณีเป็นการบังคับคดีจากเงินฝากประจำตามสมุดเงินฝากและเงินสดที่จำเลยที่ 2มาวางไว้ต่อศาลจึงไม่มีเหตุที่ศาลจะมีคำสั่งให้ถอนการบังคับคดีให้ยกคำร้องค่าคำร้องเป็นพับ
จำเลย ที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลย ที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า ศาลต้องสั่งถอนการบังคับคดีรายนี้หรือไม่ ที่จำเลยที่ 2ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 นำสมุดเงินฝากของธนาคารมาเป็นหลักประกันในการขอทุเลาการบังคับคดีระหว่างฎีกา ศาลชั้นต้นมีหนังสือห้ามจำเลยที่ 2ถอนเงินจากสมุดเงินฝากดังกล่าว เมื่อคดีถึงที่สุด จำเลยที่ 2 ต้องชำระเงินตามคำพิพากษาให้โจทก์ แต่จำเลยที่ 2 ไม่มีสิทธิจะถอนเงินจากสมุดเงินฝากดังกล่าว เนื่องจากอำนาจการอนุญาตให้ถอนเงินเป็นจากสมุดเงินฝากดังกล่าว เนื่องจากอำนาจการอนุญาตให้ถอนเงินเป็นของศาลชั้นต้นเมื่อจำเลยที่ 2 แถลงขอให้โจทก์รับเงินดังกล่าวไปจากศาลชั้นต้นได้ย่อมถือว่าจำเลยที่ 2 ได้ชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้วนั้น เห็นว่าสมุดเงินฝากของธนาคาร ซึ่งจำเลยที่ 2นำมาวางต่อศาลชั้นต้นเป็นเพียงหลักประกันในการขอทุเลาการบังคับคดีระหว่างฎีกาเท่านั้นว่าจำเลยที่ 2 มีทรัพย์สินพอที่จะชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้โจทก์ สมุดเงินฝากดังกล่าวจึงมิใช่เป็นตัวเงินซึ่งจำเลยที่ 2 นำมาวางต่อศาลเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษา แม้จำเลยที่ 2 แถลงต่อศาลขอชำระหนี้ โดยยอมให้โจทก์รับเงินจากสมุดเงินฝากดังกล่าวไปจากศาลชั้นต้นได้ก็ตาม โจทก์ไม่อาจขอให้ศาลมีคำสั่งให้ธนาคารจ่ายเงินตามสมุดเงินฝากนั้นให้โจทก์ได้ วิธีการที่ศาลจะให้ธนาคารส่งเงินตามสมุดเงินฝากมาเพื่อจ่ายให้โจทก์จำต้องดำเนินการตามหมายบังคับคดี กรณีถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์ ส่วนที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า เมื่อจำเลยที่ 2 แถลงต่อศาลขอให้โจทก์รับเงินจากสมุดเงินฝากดังกล่าวไปจากศาลชั้นต้นย่อมเป็นการโอนสิทธิเรียกร้องให้โจทก์แล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 306, 665 หนี้ตามคำพิพากษาย่อมระงับ โจทก์จึงไม่อาจบังคับคดีแก่จำเลยที่ 2 ได้อีกนั้นเห็นว่า ประเด็นข้อนี้จำเลยที่ 2 มิได้อุทธรณ์ไว้ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ภาค 2 ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรก ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน

Share