แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
แม้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นคนร้ายจะสวมหมวกซึ่งคลุมใบหน้าไว้ก็ตามแต่ พ. พยานโจทก์กับจำเลยที่ 1 มีความคุ้นเคยกันฉันญาติ จึงมีเหตุผลอยู่ที่ พ. จะจำจำเลยที่ 1 ได้จากเสียงและรูปร่างลักษณะการที่ระบุตัวจำเลยที่ 1 ต่อเจ้าพนักงานตำรวจล่าช้าไปบ้างก็เป็น เรื่องธรรมดาที่ในตอนแรก พ. อาจคิดช่วยเหลือจำเลยที่ 1 รวม ทั้งกลัวภัยที่จะเกิดแก่ตน จึงไม่ทำให้น้ำหนักคำ พ. เป็นพิรุธถึงกับรับฟังไม่ได้ เพื่อพิจารณาประกอบผลการตรวจพิสูจน์เปรียบเทียบ ลายพิมพ์นิ้วมือของจำเลยที่ 1 กับลายนิ้วมือแฝง ของคนร้ายที่ขวดสุรา ของกลาง ปรากฎว่าเป็นลายนิ้วมือของบุคคลคนเดียวกัน ทำให้พยาน หลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนร้าย ร่วมกับพวกปล้นทรัพย์.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันมีและพาอาวุธปืนพก ซึ่งไม่มีหมายเลขทะเบียนไปในเมือง หมู่บ้านและทางสาธารณะ โดยไม่ได้รับอนุญาตและไม่มีเหตุอันสมควรแล้วใช้อาวุธปืนร่วมกันปล้นทรัพย์รวมราคา 86,700 บาท ของนางจงกล พันธุ์เสือทองผู้เสียหาย และใช้รถจักรยานยนต์ เป็นยานพาหนะเพื่อพาเอาทรัพย์นั้นไป เหตุเกิดที่ตำบลสามง่าม อำเภอโพธิ์ทอง จังหวัดอ่างทอง เจ้าพนักงานยึดได้ไข่เจียวผสมสารพิษ 1 ถุง ซองเปล่าของสารพิษ 2 ซอง และขวดสุราชนิดแบน 1 ขวด เป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 33, 83, 91, 340, 340 ตรี ที่แก้ไขแล้ว พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ที่แก้ไขแล้วริบของกลางทั้งหมดเว้นขวดสุรา และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์จำนวน 86,700 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสอง, 340 ตรี ประกอบด้วยมาตรา 83 ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสามคนละ 18 ปี ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์จำนวน 86,700 บาท แก่ผู้เสียหาย ริบของกลางทั้งหมดเว้นขวดสุรา ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ยุติในเบื้องต้นว่าในวันเวลาเกิดเหตุตามฟ้อง มีคนร้าย 3 คน เข้าปล้นบ้านผู้เสียหายเอาเงินสดและทรัพย์สินอย่างอื่นรวมราคา 86,700 บาท ของผู้เสียหายไปมีปัญหาวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสามได้กระทำผิดตามที่ศาลล่างทั้งสองได้พิพากษาลงโทษหรือไม่ โจทก์มีนายพักตร์ พันธุ์เสือทอง เป็นพยานเบิกความว่า ขณะเกิดเหตุพยานนอนอยู่ใต้ถุนบ้านผู้เสียหาย ถูกคนร้ายคุมตัวไว้ไม่ให้ขัดขืน คนร้ายดังกล่าวสวมหมวกซึ่งคลุมใบหน้าด้วย ได้ควบคุมตัวพยานอย่างใกล้ชิด เป็นเวลานาน และได้มีการพูดจากับพยานด้วย พยานจำเสียงพูดและรูปร่างลักษณะได้ว่าคนร้ายคนนั้นคือจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นหลานเขยของพยาน แต่ตอนเช้ารุ่งขึ้นของวันเกิดเหตุ พยานไม่กล้าบอกเจ้าพนักงานตำรวจ เพราะเกรงจะเกิดอันตรายอีก 2 วันต่อมา เมื่อคิดทบทวนดีแล้ว เกรงจะถูกหาว่าช่วยเหลือจำเลยที่ 1 พยานจึงได้บอกให้เจ้าพนักงานตำรวจทราบเห็นว่านายพักตร์กับจำเลยที่ 1 เป็นญาติไม่ห่างกันนัก นายพักตร์ถูกจำเลยที่ 1 ควบคุมตัวอย่างใกล้ชิดเป็นเวลานาน และได้มีการพูดจากัน แม้จำเลยที่ 1 จะสวมหมวกชนิดคลุมใบหน้า แต่ด้วยความคุ้นเคยกันฉันญาติ จึงมีเหตุผลอยู่ที่นายพักตร์จะจำจำเลยที่ 1 ได้จากเสียงและรูปร่างลักษณะของจำเลยที่ 1 โดยเฉพาะนายพักตร์เป็นญาติกับจำเลยที่ 1 ถ้าไม่เป็นจริงคงไม่เบิกความให้ร้ายแก่จำเลยที่ 1 เช่นนั้น แม้นายพักตร์จะระบุตัวจำเลยที่ 1 ต่อเจ้าพนักงานตำรวจล่าช้าไปบ้าง โดยลักษณะเช่นนี้ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ในตอนแรก นายพักตร์อาจจะคิดช่วยเหลือจำเลยที่ 1 รวมทั้งกลัวภัยที่จะเกิดแก่ตน จึงไม่ทำให้น้ำหนักคำนายพักตร์เป็นพิรุธถึงกับจะรับฟังไม่ได้ เมื่อพิจารณาประกอบกับคำเบิกความของร้อยตำรวจตรีปรีชา ทองสมพล และพันตำรวจโทอาภรณ์ ขำเดชพนักงานสอบสวนซึ่งเบิกความว่า ได้ส่งขวดสุราของกลางไปให้กองวิทยาการกองกำกับการตำรวจภูธร จังหวัดอ่างทอง ตรวจหาลายนิ้วมือแฝงของคนร้ายต่อมาเมื่อจับจำเลยที่ 1 ได้แล้ว ได้ส่งตัวอย่างลายพิมพ์นิ้วมือของจำเลยที่ 1 กับลายนิ้วมือแฝงดังกล่าวไปให้กองพิสูจน์หลักฐานกรมตำรวจตรวจพิสูจน์เปรียบเทียบผลการตรวจพิสูจน์ปรากฏว่าเป็นลายนิ้วมือของบุคคลคนเดียวกัน ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.13ซึ่งมีพันตำรวจตรีหญิงสุกัญญา อุษณกรกุล ผู้ชำนาญการพิเศษ ผู้ตรวจพิสูจน์มาเบิกความยืนยันด้วย รับฟังเป็นจริงได้ ทำให้พยานหลักฐานโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 มีน้ำหนักมั่นคง ที่จำเลยที่ 1 นำสืบว่าถูกตำรวจหลอกลวงให้จับขวดสุราของกลางนั้น มีเพียงคำจำเลยที่ 1และไม่มีเหตุผลที่น่าเชื่อถือไม่สามารถหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ดังกล่าวได้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นคนร้ายร่วมกับพวกปล้นทรัพย์ผู้เสียหายตามฟ้องจริง พยานหลักฐานจำเลยที่ 1ที่นำสืบอ้างฐานที่อยู่ ไม่สามารถหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้
ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 ที่ 3 โจทก์มีพยานที่รู้เห็นเหตุการณ์คือผู้เสียหาย เด็กหญิงสุภัทรา พันธุ์เสือทอง และเด็กหญิงอรทัย ศรีปทุม…เห็นว่าพยานโจทก์ทั้ง 3 ปากดังกล่าวมีโอกาสเห็นจำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้ในระยะกระชั้นชิดเป็นเวลานานพอสมควร และมีแสงสว่างจากไฟฟ้าจึงทำให้สามารถมองเห็นได้ชัดเชื่อได้ว่าพยานโจทก์ดังกล่าวได้เห็นจำเลยที่ 2 ที่ 3 และจำได้จริง และพยานโจทก์ดังกล่าวก็ได้แจ้งต่อพนักงานสอบสวนว่าจำคนร้ายทั้ง 2 คน คือจำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้ ซึ่งร้อยตำรวจตรีปรีชา และพันตำรวจโทอาภรณ์เบิกความยืนยันในข้อนี้ ทำให้พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักมั่นคงพยานหลักฐานจำเลยทั้งสองอ้างฐานที่อยู่ไม่สามารถหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยทั้งสามได้กระทำผิดตามที่ศาลล่างทั้งสองได้พิพากษาลงโทษมาจริง ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ฎีกาของจำเลยทั้งสามฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.