คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1335/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

เจ้าพนักงานพิทักษ์มีหนังสือยืมยันหนี้ให้ผู้ร้องชำระหนี้เป็นเงินจำนวนหนึ่ง การที่ผู้ร้องขอให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายชื่อผู้ร้องออกจากบัญชีลูกหนี้ เนื่องจากไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ดังกล่าวเท่ากับให้ศาลวินิจฉัยว่าผู้ร้องไม่มีหนี้ที่จะต้องชำระตามจำนวนที่เจ้าพนักงานพิทักษ์แจ้งยืนยันไป หากศาลมีคำสั่งให้ผู้ร้องชนะคดีทุกข์ของผู้ร้องย่อมปลดเปลื้องไปตามจำนวนเงินที่ผู้ร้องไม่ต้องชำระหนี้ คำร้องของผู้ร้องจึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ตามตาราง 1 ข้อ (1)(ก) ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ประกอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 179 วรรคท้ายต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์อย่างคดีมีทุนทรัพย์ เมื่อศาลอุทธรณ์สั่งให้ผู้ร้องนำค่าขึ้นศาลที่ยังขาดอยู่มาชำระ แต่ผู้ร้องเพิกเฉย จึงเป็นการทิ้งฟ้องอุทธรณ์

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้มีหนังสือยืนยันหนี้ให้ผู้ร้องชำระหนี้ จำนวน 840,379 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันผิดนัดเป็นต้นไปกว่าจะชำระเสร็จผู้ร้องยื่นคำร้องว่า เดิมบริษัทสุพรรณบุรีทำไม้ จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าของสัมปทานป่าไม้ได้ตกลงให้ผู้ร้องเป็นผู้ทำไม้ในสัมปทานโดยผู้ร้องเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น และบริษัทสุพรรณบุรีทำไม้จำกัด ตกลงขายไม้ที่ผู้ร้องทำให้แก่ผู้ร้อง ต่อมาผู้ร้องได้ทำสัญญาขายไม้ดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 1 โดยมีข้อกำหนดให้จำเลยที่ 1ออกเงินทดรองจ่ายให้แก่ผู้ร้อง เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการทำไม้ออกจากป่ามาส่งมอบขายแก่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1จะต้องชำระค่าภาคหลวง ค่าปลูกป่า ค่าสิทธิการทำไม้ ค่าซื้อไม้ล่วงหน้า ค่าตอไม้ และเงินอื่นใดที่ผู้ร้องจะต้องจ่ายตามที่บริษัทสุพรรณบุรีทำไม้ จำกัด เรียกร้อง และผู้ร้องได้ปฏิบัติตามสัญญาโดยทำไม้ออกจากป่ามารวมหมอนไว้ แต่จำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระเงินค่าปลูกป่าที่ต้องเสียเพิ่มภายในกำหนดเวลา เป็นเหตุให้บริษัทสุพรรณบุรีทำไม้ จำกัด บอกเลิกสัญญาแก่ผู้ร้อง ซึ่งเป็นความผิดของจำเลยที่ 1 เอง สิทธิเรียกร้องของจำเลยที่ 1ขาดอายุความแล้ว ขอให้มีคำสั่งเพิกถอนความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และจำหน่ายชื่อผู้ร้องออกจากบัญชีลูกหนี้
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์คัดค้านว่า จำเลยที่ 1 ได้ปฏิบัติตามสัญญาที่ทำไว้กับผู้ร้องครบถ้วนแล้ว แต่ผู้ร้องเป็นฝ่ายผิดสัญญากับบริษัทสุพรรณบุรีทำไม้ จำกัด คือ ทำไม้ไม่ทันตามกำหนดและนำอุปกรณ์การตัดไม้ออกจากป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต บริษัทสุพรรณบุรีทำไม้ จำกัด จึงบอกเลิกสัญญาแก่ผู้ร้อง ทำให้ผู้ร้องไม่สามารถส่งมอบไม้ให้แก่จำเลยที่ 1 ผู้ร้องจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา สิทธิเรียกร้องของจำเลยที่ 1 มีกำหนดอายุความ 10 ปี และยังไม่ขาดอายุความขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว มีคำสั่งให้ยกคำร้องของผู้ร้อง ให้ผู้ร้องใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สำหรับค่าทนายความเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ว่าความเอง จึงไม่กำหนดให้
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ และส่งสำนวนไปศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์สั่งให้ศาลชั้นต้นเรียกผู้ร้องนำค่าขึ้นศาลอย่างคดีมีทุนทรัพย์ที่ยังขาดอยู่มาชำระให้ครบภายในเวลาตามที่ศาลชั้นต้นกำหนด ศาลชั้นต้นสั่งให้ผู้ร้องนำค่าขึ้นศาลที่ยังขาดอยู่มาชำระภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ 2 เมษายน 2534 ปรากฏว่า ผู้ร้องไม่นำค่าขึ้นศาลที่ยังขาดอยู่มาชำระภายในกำหนด ศาลชั้นต้นจึงส่งสำนวนไปศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าเป็นการทิ้งอุทธรณ์ จึงมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีจากสารบบความของศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ผู้ร้องฎีกาว่า การร้องคัดค้านหนังสือยืนยันหนี้ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตามพระราชบัญญัติ ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 119 บัญญัติให้ทำเป็นคำร้องจึงต้องเสียค่าคำร้องเพียง 20 บาท และถือว่าเป็นคดีที่ขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ซึ่งต้องเสียค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์อย่างคดีไม่มีทุนทรัพย์จำนวน 200 บาท และผู้ร้องได้ชำระครบถ้วนแล้วมิใช่คดีมีทุนทรัพย์แต่อย่างใด พิเคราะห์แล้วเห็นว่า คำร้องของผู้ร้องขอให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายชื่อผู้ร้องออกจากบัญชีลูกหนี้ เนื่องจากผู้ร้องไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ให้แก่จำเลยที่ 1 ก็คือให้ศาลวินิจฉัยว่า ผู้ร้องไม่มีหนี้ที่จะต้องชำระตามจำนวนที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แจ้งยืนยันไปหากศาลมีคำสั่งให้ผู้ร้องชนะคดี ทุกข์ของผู้ร้องย่อมปลดเปลื้องไปตามจำนวนเงินที่ผู้ร้องไม่ต้องชำระหนี้ คำร้องของผู้ร้องจึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ตามตาราง 1ข้อ (1)(ก) ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ประกอบด้วยพระราชบัญญัติ ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 179 วรรคท้าย ผู้ร้องจึงต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์อย่างคดีมีทุนทรัพย์ เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ผู้ร้องนำค่าขึ้นศาลที่ยังขาดอยู่มาชำระ แต่ผู้ร้องเพิกเฉย จึงเป็นการทิ้งฟ้องอุทธรณ์ คำสั่งศาลอุทธรณ์ชอบแล้วฎีกาผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทำคำแก้ฎีกาด้วยตนเองจึงไม่กำหนดค่าทนายความให้

Share