คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1946/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์มอบอำนาจให้ อ.ฟ้องคดีแทนโดยแนบภาพถ่ายหนังสือมอบ-อำนาจมาท้ายฟ้อง แต่กลับนำสืบว่าภาพถ่ายหนังสือมอบอำนาจท้ายฟ้องมิใช่ภาพถ่าย-หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีนี้ เป็นภาพถ่ายหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีอื่น ส่วนภาพถ่ายหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีนี้โจทก์ได้แนบไปท้ายฟ้องคดีอื่นสลับกัน โดยโจทก์นำสืบต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจทั้งสองฉบับประกอบคำเบิกความของ อ.ว่า โจทก์มอบอำนาจให้ อ.ฟ้องคดีนี้จริง เช่นนี้ ภาพถ่ายหนังสือมอบอำนาจท้ายฟ้องและต้นฉบับย่อมมิใช่หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีนี้ ส่วนต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีนี้ก็มิได้มีการส่งสำเนาล่วงหน้าตาม ป.วิ.พ. มาตรา 90 จึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานไม่ได้ ตามมาตรา 86 โจทก์จึงไม่มีพยานเอกสารมาแสดงให้เห็นถึงการมอบอำนาจให้ฟ้องคดีนี้ทั้งคำเบิกความของ อ.ก็เป็นพยานบุคคลจะรับฟังแทนเอกสารมิได้ ต้องห้ามตามมาตรา94 (ก) ประกอบมาตรา 60 วรรคสอง ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์มอบอำนาจให้อ.ฟ้องคดีนี้แทนโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้พร้อมดอกเบี้ยจำนวน ๔๐,๐๐๐ บาท คืนจากจำเลย โดยมอบอำนาจให้นายอำนาจ ลือขจร ดำเนินคดีแก่จำเลยแทนตามหนังสือมอบ-อำนาจท้ายฟ้อง
จำเลยให้การว่า โจทก์ฟ้องคดีก่อนถึงวันที่ตามหนังสือมอบอำนาจจึงไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยชำระหนี้ให้โจทก์แล้วบางส่วน คงค้างชำระอยู่เพียง๕,๕๓๔.๖๖ บาทขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ตามฟ้องแก่โจทก์ โดยให้หักหนี้ที่จำเลยชำระแล้วจำนวน ๒,๕๐๐ บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ให้โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีได้ความตามคำฟ้องโจทก์ว่า โจทก์ได้มอบอำนาจให้นายอำนาจฟ้องคดีตามภาพถ่ายหนังสือมอบอำนาจให้ดำเนินคดีแทนฉบับลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๓๑ ท้ายฟ้อง นายอำนาจยื่นฟ้องคดีนี้ต่อศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๓๑ ต่อมาก่อนวันชี้สองสถานโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องต่อศาลชั้นต้นว่า เสมียนทนายพิมพ์ พ.ศ.เกี่ยวกับหนังสือมอบอำนาจตามภาพถ่าย-หนังสือมอบอำนาจดังกล่าวเป็น พ.ศ.๒๕๓๑ ผิดไป ขอแก้เป็น พ.ศ.๒๕๓๐ ตามที่ถูกต้อง ศาลชั้นต้นไม่อนุญาต จึงเป็นกรณีที่โจทก์ยืนยันตามคำฟ้องว่าโจทก์ได้มอบอำนาจให้นายอำนาจฟ้องคดีนี้ตามภาพถ่ายหนังสือมอบอำนาจให้ดำเนินคดีแทนท้ายฟ้องเพียงแต่ระบุ พ.ศ.ในหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวผิดไป ประเด็นแห่งคดีจึงเกี่ยวกับหนังสือมอบอำนาจฉบับดังกล่าวเท่านั้น แต่ทางพิจารณาโจทก์กลับนำสืบนายอำนาจเป็นพยานเพียงปากเดียวว่า โจทก์ได้มอบอำนาจให้พยานฟ้องคดีนี้ตามหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.๖ ซึ่งหาใช่ต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจตามภาพถ่ายหนังสือมอบอำนาจให้ดำเนินคดีแทนท้ายฟ้องไม่โดยอ้างว่าโจทก์ได้มอบอำนาจให้พยานฟ้องจำเลยจำนวน๒ คดี และทำหนังสือมอบอำนาจจำนวน ๒ ฉบับ ตามหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมายจ.๖ และหนังสือมอบอำนาจให้ดำเนินคดีแทน เอกสารหมาย จ.๗ ซึ่งเป็นต้นฉบับของภาพถ่ายหนังสือมอบอำนาจให้ดำเนินคดีแทนท้ายฟ้อง พยานได้ฟ้องจำเลยทั้ง ๒ คดีในวันเดียวกัน คือคดีนี้กับคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๕๕/๒๕๓๑ หมายเลขแดงที่ ๖๒/๒๖๓๑ของศาลชั้นต้น แต่โจทก์ได้ส่งภาพถ่ายหนังสือมอบอำนาจทั้ง ๒ ฉบับ ดังกล่าวไว้ท้ายฟ้องในสำนวนทั้ง ๒ คดีสลับกัน โดยส่งภาพถ่ายของเอกสารหมาย จ.๗ ไว้ในสำนวนคดีนี้และส่งภาพถ่ายเอกสารหมาย จ.๖ ไว้ในสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๖๒/๒๕๓๑จึงเป็นการนำสืบว่าภาพถ่ายหนังสือมอบอำนาจให้ดำเนินคดีแทนท้ายฟ้องหรือเอกสาร-หมาย จ.๗ ไม่ใช่หนังสือมอบอำนาจที่โจทก์ได้ให้นายอำนาจฟ้องคดีนี้ สำหรับเอกสารหมาย จ.๖ ที่โจทก์นำสืบว่าเป็นต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีนี้นั้น มิได้มีการส่งสำเนาล่วงหน้าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๙๐ จำเลยได้แถลงคัดค้านไว้แล้ว ส่วนภาพถ่ายหนังสือมอบอำนาจท้ายฟ้องมิใช่สำเนาของเอกสารหมาย จ.๖ แต่เป็นสำเนาของเอกสารหมาย จ.๗ ดังนั้นจึงรับฟังเอกสาร-หมาย จ.๖ เป็นพยานหลักฐานไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๘๖ ส่วนต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจหมาย จ.๗ นั้น แม้จะมีการส่งสำเนาตามเอกสารท้ายฟ้อง แต่โจทก์ก็นำสืบว่ามิใช่หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีนี้โจทก์จึงไม่มีพยานเอกสารมาแสดงให้เห็นถึงการมอบอำนาจให้ฟ้องคดีนี้ ทั้งคำเบิกความของนายอำนาจก็เป็นพยานบุคคลจะนำมาสืบให้ศาลรับฟังแทนเอกสารมิได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๙๔ (ก) ประกอบมาตรา ๖๐วรรคสอง ดังนั้น ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์มอบอำนาจให้นายอำนาจฟ้องคดีนี้นายอำนาจจึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้แทนโจทก์
พิพากษายืน.

Share