แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ทรัพย์สินที่พิพาทอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละ 5,000 บาท และจำเลยต่อสู้ว่าอยู่ในที่ดินและบ้านพิพาทโดยอาศัยสิทธิของมารดาซึ่งมีสิทธิดีกว่าโจทก์มิได้กล่าวแก้ข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 จำเลยฎีกาว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ แม้จะเป็นฎีกาปัญหาข้อกฎหมายแต่การวินิจฉัยจะต้องอาศัยข้อเท็จจริง เพื่อวินิจฉัย ปัญหาข้อกฎหมาย การเถียงข้อเท็จจริงซึ่งศาลฟังเป็นยุติแล้วว่า ทรัพย์พิพาทเป็นของโจทก์ให้จำเลยอาศัยอยู่และต้องห้ามฎีกา เพื่อสู่การวินิจฉัยข้อกฎหมายนั้น มีผลเป็นอย่างเดียวกับการฎีกา ในข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามตามกฎหมายดังกล่าว.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยพร้อมบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกจากบ้านเลขที่ 1000/1 ถนนอุปราช ตำบลสวนดอก อำเภอเมืองลำปาง จังหวัดลำปาง ภายในกำหนด 7 วัน และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย 700 บาท และต่อไปอีกวันละ 100 บาท จนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินพร้อมบริวารออกจากบ้านและที่ดินดังกล่าว
จำเลยให้การว่า ที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นกรรมสิทธิ์ของนางฟองคำ วัฒนะ มารดาจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยพร้อมบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกจากบ้านเลขที่ 1000/1 ถนนอุปราช ตำบลสวนดอก อำเภอเมืองลำปาง จังหวัดลำปาง ซึ่งตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 641 ตำบลเชียงราย (หัวเวียง)อำเภอเมืองลำปาง จังหวัดลำปาง ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย 700 บาทแก่โจทก์ และค่าเสียหายอีกวันละ 100 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินพร้อมบริวารออกจากบ้านและที่ดินดังกล่าว
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อ10.1 ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาขึ้นมามีว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ปัญหานี้จำเลยฎีกามายืดยาวพอแปลความหมายได้ว่า ที่ดินและบ้านพิพาทเป็นของนางฟองคำ วัฒนะ มารดาจำเลยซึ่งขณะพิพาทนางฟองคำยังครอบครองอยู่นั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยให้ออกจากอสังหาริมทรัพย์ ได้ความว่าโจทก์เรียกค่าเสียหายเป็นค่าปรับวันละ100 บาท หรือเดือนละ 3,000 บาท และจำเลยมิได้โต้แย้งเป็นอย่างอื่นจึงต้องฟังว่าในขณะยื่นคำฟ้องทรัพย์สินที่พิพาทอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละห้าพันบาท และจำเลยต่อสู้ว่าอยู่ในที่ดินและบ้านพิพาทโดยอาศัยสิทธิของนางฟองคำ วัฒนะ มารดาซึ่งมีสิทธิดีกว่าโจทก์ มิได้กล่าวแก้ข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คดีจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 ที่จำเลยฎีกามานั้น แม้จะเป็นปัญหาข้อกฎหมาย แต่การวินิจฉัยย่อมจะต้องอาศัยข้อเท็จจริงเพื่อวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย การเถียงข้อเท็จจริงซึ่งศาลล่างทั้งสองฟังเป็นยุติแล้วว่าทรัพย์พิพาทเป็นของโจทก์ให้จำเลยอาศัยอยู่และต้องห้ามฎีกา เพื่อสู่การวินิจฉัยข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลย จึงมีผลเป็นอย่างเดียวกับการฎีกาในข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตามกฎหมายดังกล่าว…”
พิพากษาให้ยกฎีกาของจำเลย ให้คืนค่าขึ้นศาลในชั้นฎีกาแก่จำเลย.