คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 321/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,80 ประกอบด้วยมาตรา 65 วรรคสองจำคุก 2 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกฟ้อง ไม่ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 โจทก์ฎีกาข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่นได้ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่น บุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ จำคุกกระทงละไม่เกิน 2 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 2พิพากษายกฟ้องทั้งสามข้อหา ไม่ได้พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยไม่ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 จำเลยถืออาวุธปืนขู่บังคับให้ผู้เสียหายเปิดประตูบ้าน แล้วเข้าไปในบ้านกับผู้เสียหาย จำเลยไม่ได้ยิงผู้เสียหายทันที แต่เพิ่งยิงผู้เสียหาย เมื่อจำเลยขอเข้าไปในห้องนอนผู้เสียหายแต่ผู้เสียหายไม่ยอมเข้าไปกับจำเลยตามที่จำเลยต้องการ ที่บุกรุกเข้าไปในเคหสถานของผู้เสียหายนั้น จำเลยมิได้มีเจตนาแต่แรกที่จะเข้าไปยิงผู้เสียหาย จึงเป็นความผิดฐานบุกรุกและพยายามฆ่าสองกระทง จำเลยใช้อาวุธปืนยิงพยายามฆ่าผู้เสียหาย กระสุนปืนไปถูกกระจกหน้าต่างและโต๊ะของผู้เสียหายได้รับความเสียหายด้วย เป็นความผิดฐานพยายามฆ่าและทำให้เสียทรัพย์ แต่จำเลยมีเจตนายิงผู้เสียหายเป็นสำคัญ การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้มีอาวุธปืนสั้น ขนาด .357 ซึ่งเป็นของนายเต็ก เบ่าอุบลย์ ผู้ซึ่งได้รับอนุญาตให้มีและใช้จากนายทะเบียนท้องที่และมีกระสุนปืนขนาด .357 จำนวน 12 นัด ไว้ในครอบครองของจำเลยโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยได้พาอาวุธปืนดังกล่าวติดตัวไปในหมู่บ้าน ทางสาธารณะ จำเลยโดยไม่มีเหตุอันสมควรได้บุกรุกเข้าไปในบ้านของนายธีระศักดิ์ จันต๊ะ ผู้เสียหายโดยไม่ได้รับอนุญาตโดยมีอาวุธปืนดังกล่าว จำเลยได้ใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงผู้เสียหายหลายนัดโดยเจตนาฆ่า กระสุนปืนถูกผู้เสียหายที่บริเวณหน้าท้องและหน้าอกหลายแห่งแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผลเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายสาหัส ต้องป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาและประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า 20 วันและจำเลยทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่าและไร้ประโยชน์ซึ่งทรัพย์ของผู้เสียหายโดยจำเลยใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงกระจกหน้าต่างบ้านของโต๊ะของผู้เสียหายหลายนัด เป็นเหตุให้กระจกหน้าต่างแตก คิดเป็นค่าเสียหาย 100 บาท และทำให้โต๊ะเสื่อมค่าเพราะมีรอยกระสุนปืน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา288, 358, 364, 365, 91, 80 พระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ริบกระสุนปืน ปลอกกระสุนปืนและหัวกระสุนปืนของกลาง ของกลางอื่นคืนให้เจ้าของ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 80 ประกอบด้วยมาตรา 65 วรรคสอง กระทงหนึ่งจำคุก3 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358 ประกอบด้วยมาตรา 65 วรรคสองกระทงหนึ่ง จำคุก 15 วัน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365(2)ประกอบด้วยมาตรา 65 วรรคสอง กระทงหนึ่งจำคุก 15 วัน ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 วรรคสาม ประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 65 วรรคสอง กระทงหนึ่ง จำคุก 1 เดือน ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง,72 ทวิ วรรคสอง ประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 65 วรรคสองกระทงหนึ่ง จำคุก 1 เดือน รวมจำคุก 3 ปี 3 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพบางข้อหาและรับข้อเท็จจริงบางประการเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี 2 เดือน ริบกระสุนปืนปลอกกระสุนปืน และหัวกระสุนปืนของกลาง ของกลางอื่นให้คืนเจ้าของโจทก์จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่น บุกรุก และทำให้เสียทรัพย์ส่วนความผิดฐานมีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตและพาอาวุธปืนติดตัวไปในหมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เฉพาะข้อหามีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนและพาอาวุธปืนไปในหมู่บ้าน ทางสาธารณะ โดยไม่ได้รับอนุญาตซึ่งศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลย โจทก์และจำเลยไม่ได้ฎีกาทั้งสองข้อหาเป็นอันยุติ คงมีปัญหาวินิจฉัยในชั้นฎีกาเฉพาะข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่น บุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ และศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายตามคำแก้ฎีกาของจำเลยก่อน ที่จำเลยแก้ฎีกาว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 ประกอบด้วยมาตรา 65 วรรคสองและศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกฟ้อง เท่ากับศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกฟ้องโจทก์ข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่นตามมาตรา 288, 80แล้ว จึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220นั้น เห็นว่า ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นเรื่องศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่าผู้อื่นแล้ว มิใช่พิพากษายกฟ้อง ดังนั้นเมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกฟ้องโจทก์ย่อมฎีกาในปัญหาข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่นได้ คำพิพากษาฎีกาที่จำเลยยกขึ้นอ้างในคำแก้ฎีการูปคดีไม่ตรงกับคดีนี้ ส่วนที่จำเลยแก้ฎีกาว่าศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่น บุกรุก และทำให้เสียทรัพย์โทษจำคุกกระทงละไม่เกิน 2 ปี เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกฟ้องทั้งสามข้อหา จึงถือว่าศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำคุกเกิน 2 ปีไม่ได้ คดีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 นั้น เห็นว่า ทั้งสามข้อหาดังกล่าวศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกฟ้อง ไม่ได้พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย กรณีจึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติตามมาตรา 219 โจทก์ย่อมฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงได้ทั้งสามข้อหา คำแก้ฎีกาจำเลยทั้งหมดฟังไม่ขึ้น
ปัญหาตามที่โจทก์ฎีกามีว่า จะลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่าผู้อื่นบุกรุก และทำให้เสียทรัพย์ได้หรือไม่เพียงใด ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันแล้วฟังได้ตามคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ว่าตามวันเวลาเกิดเหตุจำเลยถืออาวุธปืนสั้น บุกรุกเข้าไปในบ้านอันเป็นเคหสถานที่อยู่อาศัยของนายธีระศักดิ์ จันต๊ะ ผู้เสียหาย แล้วใช้อาวุธปืนยิงถูกผู้เสียหายหลายนัดเป็นเหตุให้รับอันตรายสาหัส และปรากฏว่ากระสุนปืนที่จำเลยยิงในที่เกิดเหตุไปถูกกระจกหน้าต่าง 1 บานกับถูกโต๊ะรับแขกของผู้เสียหายเสียหาย พิเคราะห์แล้ว ได้ความจากคำเบิกความของร้อยตำรวจเอกสุรสิทธิ์ ชาวนา ผู้จับกุมจำเลยและนายธีระศักดิ์ จันต๊ะ ผู้เสียหายพยานโจทก์ประกอบกันว่า ในวันเกิดเหตุเวลาประมาณ 11 นาฬิกา ร้อยตำรวจเอกสุรสิทธิ์ได้ยินเสียงจำเลยทางวิทยุตำรวจเรียกให้ผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดน่านไปที่สถานีตำรวจภูธรกิ่งอำเภอนาหมื่นเพราะมีกลุ่มอิทธิพลจะฆ่าจำเลย ร้อยตำรวจเอกสุรสิทธิ์จึงไปที่สถานีตำรวจนั้นพบจำเลยถืออาวุธปืนสั้นอยู่ในห้องส่งวิทยุ จำเลยมีอาการหน้าซีดมือสั่นและตาแดง เมื่อร้อยตำรวจเอกสุรสิทธิ์สั่งให้จำเลยหยุดพูดวิทยุ จำเลยไม่ยอมทำตามได้พูดต่อไปอีกประมาณ 10 นาทีหลังจากนั้นจำเลยได้ออกไปจากห้องส่งวิทยุไปที่บ้านผู้เสียหายใช้อาวุธปืนขู่บังคับให้ผู้เสียหายเปิดประตูบ้านแล้วเข้าไปในบ้านผู้เสียหาย จำเลยขอเข้าไปหลบอยู่ในห้องนอนผู้เสียหายโดยจะให้ผู้เสียหายเข้าไปอยู่ด้วย ผู้เสียหายบอกว่าจะรีบไปทำงาน จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายรวม 5 นัด กระสุนปืนถูกร่างกายผู้เสียหายหลายแห่ง ผู้เสียหายวิ่งหลบหนีออกไปจากบ้านได้ร้อยตำรวจเอกสุรสิทธิ์ ร้องบอกจำเลยว่าผู้กำกับการตำรวจมาแล้วให้ลงไปพบ จำเลยเดินลงจากบ้านผู้เสียหาย แต่เมื่อรู้ว่าผู้กำกับการตำรวจไม่ได้อยู่ในที่นั้นจำเลยก็ชักอาวุธปืนยิงร้อยตำรวจเอกสุรสิทธิ์หลายนัด กระสุนปืนไม่ถูกใคร จากนั้นจำเลยวิ่งหลบหนีเข้าไปในบ้านพักของสิบตำรวจโทประดิษฐ์ ศศิภัทรกุลซึ่งขณะนั้นไม่มีใครอยู่ในบ้าน จำเลยยิงปืนในบ้านนั้นอีก 1 นัดร้อยตำรวจเอกสุรสิทธิ์เข้าใจว่าจำเลยยิงตัวตายหรือมิฉะนั้นจำเลยก็ยิงเพื่อหลอกให้ร้อยตำรวจเอกสุรสิทธิ์กับพวกติดตามขึ้นไปบนบ้าน จึงสั่งให้กำลังตำรวจล้อมบ้านนั้นไว้ ต่อมาเวลาประมาณ15 นาฬิกา พันตำรวจเอกโชติพงษ์ เศรษฐพันธ์ ผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดน่าน ได้ไปถึงและเกลี้ยกล่อม จำเลยจึงยอมวางอาวุธปืนและเข้ามอบตัวแต่โดยดี เห็นว่าขณะเกิดเหตุไม่มีเหตุส่อให้เห็นว่าจำเลยจะได้รับภยันตรายใดจนเป็นเหตุให้ต้องหลบหนีเข้าไปในบ้านผู้เสียหาย ผู้เสียหายและจำเลยต่างไม่เคยรู้จักกันหรือมีสาเหตุกันมาก่อน เมื่อจำเลยบุกรุกเข้าไปในบ้านผู้เสียหายแล้ว ผู้เสียหายเพียงแต่ไม่ยอมเข้าไปในห้องนอนตามที่จำเลยต้องการ จำเลยไม่น่าจะใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยต่อผู้เสียหาย จึงเป็นเรื่องผิดปกติวิสัย ไม่น่าเชื่อว่าบุคคลผู้มีจิตเป็นปกติจะทำเช่นนั้น ตามคำเบิกความของพันตำรวจโทผ่อน วรรณแสง พนักงานสอบสวนพยานโจทก์ฟังได้ว่า จำเลยเพิ่งถูกย้ายมาจากจังหวัดนครศรีธรรมราชมาอยู่ที่สถานีตำรวจภูธรกิ่งอำเภอนาหมื่น จังหวัดน่าน เนื่องจากจำเลยทำคดีวิสามัญฆาตรกรรม แล้วถูกญาติผู้ตายดำเนินคดีข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ก่อนเกิดเหตุ 2 วัน จำเลยกับเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรกิ่งอำเภอนาหมื่นได้ไปเที่ยวที่หมู่บ้านประมงปากนาย ในเวลากลางคืนจำเลยได้แอบไปหลบซ่อนตัวอยู่ในป่าเนื่องจากจำเลยหวาดกลัวว่าจะถูกเจ้าพนักงานตำรวจที่ไปด้วยลวงจำเลยไปฆ่า และเมื่อกลับจากไปเที่ยวแล้วจำเลยมักจะเก็บตัวไม่ออกจากห้องพักเพราะกลัวว่าพวกเจ้าพนักงานตำรวจจะไปล้อมฆ่านอกจากนั้นตามคำเบิกความของสิบตำรวจโทสังคม ประมูลสิน พยานจำเลยได้ความว่า ในเช้าวันเกิดเหตุเวลาประมาณ 9 นาฬิกา จำเลยถือกระเป๋าเดินทางไปนั่งรอรถยนต์โดยสารที่ร้านของสิบตำรวจโทสัมคมจำเลยมีอาการตาแดงใบหน้าขรึมคล้ายคนอดนอน จำเลยไม่ยอมขึ้นรถบอกว่ากลัวคนจะตามฆ่าบนรถ ต่อมาเวลา 11.30 นาฬิกา มีรถยนต์แล่นมาจอดที่สถานีตำรวจภูธรกิ่งอำเภอนาหมื่น จำเลยพูดว่าเขาจะฆ่าพี่แน่แล้ว จากนั้นจำเลยได้วิ่งไปที่ห้องส่งวิทยุบนสถานีตำรวจดังกล่าวมาแล้ว จากข้อเท็จจริงข้างต้นแสดงว่าจำเลยหวาดระแวงว่าจะถูกคนอื่นตามมาฆ่า เชื่อได้ว่าขณะจำเลยบุกรุกเข้าไปในบ้านผู้เสียหายและใช้อาวุธปืนยิงพยายามฆ่าผู้เสียหาย จำเลยป่วยเป็นโรคจิต แต่ข้อเท็จจริงฟังได้ตามคำให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนของจำเลยเอกสารหมาย จ.12 ว่า ในวันเกิดเหตุเมื่อจำเลยวิ่งหลบหนีการจับกุมของร้อยตำรวจเอกสุรสิทธิ์กับพวกเข้าไปในบ้านร้างไม่มีเจ้าของ(บ้านพักของสิบตำรวจโทประดิษฐ์ ศศิภัทรกุล จำเลยได้แกล้งยิงปืน1 นัด และใช้เท้ากระทืบพื้น เป็นการลวงว่าจำเลยฆ่าตัวตาย เพื่อให้ร้อยตำรวจเอกสุรสิทธิ์กับพวกขึ้นไปบนบ้าน จำเลยจะได้ยิงบุคคลเหล่านั้น ประกอบกับเมื่อผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดน่านมาถึงจำเลยก็ยินยอมมอบตัวแต่โดยดี ตามพฤติการณ์ดังกล่าวเชื่อว่า ขณะจำเลยกระทำความผิดคดีนี้ จำเลยยังสามารถรู้ผิดชอบและยังสามารถบังคับตนเองได้ จึงควรลงโทษจำเลยน้อยกว่าโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 65 วรรคสอง ส่วนที่จำเลยนำสืบรายงานความเห็นของโรงพยาบาลนิติจิตเวชตามเอกสารหมายล.2 ว่า นายแพทย์ธำรง ทัศนาญชลี ผู้ตรวจและรักษาจำเลยตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคม 2531 ถึงวันที่ 19 กันยายน 2531 ได้ลงความเห็นว่าจำเลยป่วยเป็นโรคจิตชนิดหวาดระแวง สันนิษฐานตามหลักวิชาการว่าในวันเวลาเกิดเหตุจำเลยมีอาการทางจิต ป่วยเป็นโรคจิตไม่สามารถรับผิดชอบได้นั้น จำเลยไม่ได้นำนายแพทย์ธำรงมาเบิกความด้วยตนเองนอกจากนั้นการตรวจและรักษาจำเลยก็เริ่มกระทำภายหลังจากเกิดเหตุแล้วเกือบ 2 เดือน ทั้งข้อที่ว่าจำเลยป่วยเป็นโรคจิตไม่สามารถรับผิดชอบได้ก็เป็นเพียงข้อสันนิษฐานของนายแพทย์ธำรงเท่านั้น ยังฟังเป็นแน่นอนไม่ได้ว่าขณะเกิดเหตุจำเลยไม่สามารถรับผิดชอบได้จริงข้อนำสืบแก้ตัวของจำเลยในเรื่องนี้ยังไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ปัญหาต่อไป การกระทำของจำเลยในข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่น บุกรุกและทำให้เสียทรัพย์เป็นความผิดกี่กรรม เห็นว่า ขณะที่จำเลยถืออาวุธปืนบังคับให้ผู้เสียหายเปิดประตูบ้านแล้วเข้าไปในบ้านกับผู้เสียหาย จำเลยไม่ได้ยิงผู้เสียหายทันที แต่เพิ่งยิงผู้เสียหายเมื่อผู้เสียหายไม่ยอมเข้าไปในห้องนอนกับจำเลย ตามที่จำเลยต้องการ เห็นเจตนาของจำเลยได้ว่า ที่บุกรุกเข้าไปในเคหสถานของผู้เสียหายนั้น จำเลยมิได้มีเจตนาแต่แรกที่จะเข้าไปยิงผู้เสียหายการกระทำของจำเลยตอนนี้จึงเป็นความผิดสองกระทง ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 3987/2526 ระหว่าง พนักงานอัยการจังหวัดราชบุรี โจทก์นายไพโรจน์ หรือเบิ้ม สังวาลย์เพชร จำเลย ส่วนที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิง และกระสุนปืนไปถูกกระจกหน้าต่างและโต๊ะของผู้เสียหายได้รับความเสียหายด้วยนั้น ในข้อนี้โจทก์มีผู้เสียหายเบิกความยืนยันว่า กระสุนปืนที่จำเลยยิงผู้เสียหายยังไปถูกกระจกหน้าต่างแตก 1 บาน และยังถูกโต๊ะรับแขกเสียหาย แสดงว่าจำเลยมีเจตนายิงผู้เสียหายเป็นสำคัญ การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกฟ้องข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่น บุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ ศาลฎีกาไม่เห็นฟ้องด้วย”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80,358, 365(2) ประกอบด้วยมาตรา 364 ประกอบมาตรา 65 วรรคสองแต่การกระทำฐานพยายามฆ่าผู้อื่นและฐานทำให้เสียทรัพย์เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานพยายามฆ่าผู้อื่นตามมาตรา 288, 80 ประกอบมาตรา 65 วรรคสอง ซึ่งเป็นบทหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 3 ปี ฐานบุกรุกตามมาตรา 365(2)ประกอบด้วยมาตรา 364 ประกอบมาตรา 65 วรรคสอง จำคุก 15 วันรวมจำคุก 3 ปี 15 วัน คำให้การชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณาของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดี มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี 10 วัน เมื่อรวมกับโทษความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาจำคุกไว้ 40 วัน แล้วรวมจำคุกมีกำหนด 2 ปี 50 วัน ไม่รอการลงโทษนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2

Share