คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 625/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 เป็นคนส่งมีดพร้าให้จำเลยที่ 1 ฟันทำร้ายพยายามฆ่าผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งหลังจากจำเลยที่ 2 ส่งมีดพร้าให้จำเลยที่ 1 แล้วก็ไม่ได้ทำอะไรอีกเลยแม้ว่าตอนที่จำเลยที่ 1 วิ่งตามผู้เสียหายที่ 2 ไปนั้นจำเลยที่ 2 ได้วิ่งตามไปด้วยก็ดี หรือขณะที่ผู้เสียหายที่ 1 จะเข้าช่วยเหลือผู้เสียหายที่ 2 จำเลยที่ 2 ก็ได้พูดห้ามปรามว่า อย่ารุมก็ดี ยังไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ตั้งใจจะร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 เนื่องจากขณะที่ผู้เสียหายที่ 1 ใช้ไม้ตีมือจำเลยที่ 1 จนอาวุธปืนสั้นหลุดจากมือ จำเลยที่ 2 ก็มิได้ใช้มีดพร้าฟันผู้เสียหายที่ 1 หรือผู้เสียหายที่ 2 เสียเอง อันพอจะเป็นการแสดงให้เห็นได้ว่าตั้งใจจะเข้าช่วยเหลือในลักษณะเข้ารุมทำร้ายผู้เสียหายที่ 2 ตามสภาพอาวุธของตนที่มีอยู่ ฉะนั้นการที่จำเลยที่ 2 เพียงแต่ส่งมีดพร้าให้จำเลยที่ 1 โดยมิได้เข้าร่วมใช้มีดพร้าฟันทำร้ายผู้เสียหายที่ 2 เสียเอง จึงถือไม่ได้ว่ามีเจตนา เป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1 ในการกระทำความผิดดังกล่าว แต่มีลักษณะเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 2 ในการกระทำผิดก่อนกระทำความผิด อีกทั้งการที่จำเลยที่ 1 ทำร้ายผู้เสียหายที่ 1 ในตอนแรก จำเลยที่ 2 ยังมิได้ดำเนินการอะไรให้เห็นว่ามีเจตนาที่จะร่วมทำร้ายผู้เสียหายที่ 1 ส่วนการที่จำเลยที่ 1 ถืออาวุธปืนสั้นมายังที่ เกิดเหตุโดยจำเลยที่ 2 ถือมีดพร้ามาด้วยนั้น พฤติการณ์พอถือได้ว่าต่างคนต่างเจตนาจะครอบครองอาวุธของตนเอง โดยลำพัง เมื่อจำเลยที่ 2 ไม่มีเจตนาจะร่วมกันกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จึงมิได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 มีและ พาอาวุธปืนดังกล่าวทำร้ายผู้เสียหายที่ 1 และพยายามฆ่าผู้เสียหายที่ 1 การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นเพียงผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๒๙๗, ๒๙๕, ๓๗๑, ๙๑, ๓๓ พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๗, ๘ ทวิ, ๗๒, ๗๒ ทวิ, และ ริบของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๗, ๘ ทวิ วรรคหนึ่ง, ๗๒ วรรคสาม, ๗๒ ทวิ วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๕, ๒๘๘ ประกอบมาตรา ๘๐, ๘๓ ๓๗๑ เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนจำคุกคนละ ๘ เดือน ฐานพาอาวุธปืนลงโทษพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ จำคุกคนละ ๖ เดือน ฐานทำร้ายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ จำคุกคนละ ๔ เดือน ฐานพยายามฆ่าผู้อื่น จำคุกคนละ ๑๒ ปี รวมจำคุกคนละ ๑๓ ปี ๖ เดือน ริบของกลาง
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๘ พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ ๒ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ ประกอบมาตรา ๘๐, ๘๖ และ ๓๗๑ ฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิดพยายามฆ่าผู้อื่นจำคุก ๘ ปี ฐานพาอาวุธไปในหมู่บ้านและทางสาธารณะ ปรับ ๑๐๐ บาท รวมจำคุก ๘ ปี และปรับ ๑๐๐ บาท ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๙, ๓๐ ข้อหาอื่นสำหรับจำเลยที่ ๒ ให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ และจำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า การที่จำเลยที่ ๒ ได้ร่วมไปกับจำเลยที่ ๑ และเป็นคนส่งมีดพร้าให้จำเลยที่ ๑ ฟันทำร้ายพยายามฆ่าผู้เสียหายที่ ๒ และแม้ว่าตอนที่จำเลยที่ ๑ วิ่งตามผู้เสียหายที่ ๒ ไปนั้น จำเลยที่ ๒ ได้วิ่งตามไปด้วยก็ดี หรือขณะที่ผู้เสียหายที่ ๑ จะเข้าช่วยเหลือผู้เสียหายที่ ๒ จำเลยที่ ๒ ก็ได้พูดห้ามปรามว่า อย่ารุมก็ดี ก็ยังไม่อาจรับฟังได้ว่า จำเลยที่ ๒ ตั้งใจจะร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ ๑ เนื่องจากขณะที่ผู้เสียหายที่ ๑ ใช้ไม้ตีมือของจำเลยที่ ๑ จนอาวุธปืนสั้นหลุดจากมือ จำเลยที่ ๒ ก็มิได้ใช้มีดพร้าฟันผู้เสียหายที่ ๑ หรือผู้เสียหายที่ ๒ เสียเองอันพอจะเป็นการแสดงให้เห็นได้ว่าตั้งใจจะเข้าช่วยเหลือในลักษณะเข้ารุมทำร้ายผู้เสียหายที่ ๒ ตามสภาพอาวุธของตนที่มีอยู่ ฉะนั้นการที่จำเลยที่ ๒ เพียงแต่ส่งมีดพร้าให้จำเลยที่ ๑ โดยมิได้เข้าร่วมกระทำการใช้มีดพร้าฟันทำร้ายผู้เสียหายที่ ๒ เสียเอง จึงถือไม่ได้ว่ามีเจตนาเป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ ๑ ในการกระทำความผิดดังกล่าว แต่มีลักษณะเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ ๒ ในการกระทำผิดก่อนกระทำความผิด อีกทั้งการที่จำเลยที่ ๑ ทำร้ายผู้เสียหายที่ ๑ ในตอนแรก ซึ่งจำเลยที่ ๒ ก็ยังมิได้ดำเนินการอะไรให้เห็นว่ามีเจตนาที่จะร่วมทำร้ายผู้เสียหายที่ ๑ และด้วยเหตุนี้การที่จำเลยที่ ๑ ถืออาวุธปืนสั้นมายังที่เกิดเหตุโดยจำเลยที่ ๒ ถือมีดพร้ามาด้วยนั้น พฤติการณ์พอถือได้ว่าต่างคนต่างเจตนาจะครอบครองอาวุธของตนเองตามลำพัง ทั้งไม่มีความประสงค์จะร่วมกันครอบครองอาวุธของกันและกันตลอดจนท้ายที่สุดจำเลยที่ ๒ ก็ไม่มีเจตนาจะร่วมกันกระทำความผิดดังกล่าวกับจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ จึงมิได้ร่วมกับจำเลยที่ ๑ มีและพาอาวุธปืนดังกล่าว ทำร้ายผู้เสียหายที่ ๑ และพยายามฆ่าผู้เสียหายที่ ๑ ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น การกระทำของจำเลยที่ ๒ จึงเป็นเพียงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดฐานพยายามฆ่า
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องในความผิดฐานพาอาวุธมีดไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันสมควร นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๘.

Share