คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6118/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง จำเลยอุทธรณ์ฝ่ายเดียว ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง แม้ว่าโจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ แต่เมื่อในทางพิจารณารับฟังได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานรับของโจรแล้ว ศาลฎีกาก็ลงโทษจำเลยฐานรับของโจรได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคสาม แม้ศาลชั้นต้นกำหนดโทษจำคุกจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษกับคดีนี้ต่ำกว่าอัตราโทษที่กฎหมายกำหนดไว้ จำเลยอุทธรณ์ฝ่ายเดียวโดยโจทก์มิได้อุทธรณ์ก็ตาม การที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยกระทำผิดฐานรับของโจร ดังนี้ ศาลฎีกาจะเพิ่มเติมโทษจำเลยเกินกว่าที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ดังกล่าวไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 335(1)(7), 357 และขอให้กำหนดโทษของจำเลยที่ศาลชั้นต้นรอการกำหนดไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1238/2537แล้วบวกเข้ากับโทษของจำเลยในคดีนี้ และนับโทษหรือระยะเวลาฝึกอบรมของจำเลยดังกล่าวติดต่อกับโทษหรือระยะเวลาฝึกอบรมของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 398/2538 ของศาลชั้นต้นด้วย
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่ศาลชั้นต้นรอการกำหนดโทษไว้ และในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 335(1)(7) ขณะกระทำผิดจำเลยมีอายุ 17 ปีเศษ และจำเลยเคยกระทำผิดมาก่อนและศาลชั้นต้นรอการกำหนดโทษไว้ อาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58 กำหนดโทษจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1238/2537 จำคุก 3 ปี รวมกับโทษคดีนี้จำคุก 5 ปี (ที่ถูกก่อนลดมาตราส่วนโทษไม่ต้องระบุจำนวนโทษไว้) ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 จำคุก 2 ปี 6 เดือน ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปี 3 เดือน อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534 มาตรา 104(2) ให้เปลี่ยนโทษจำคุกจำเลยเป็นส่งจำเลยไปฝึกอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนกลาง มีกำหนด 1 ปี ส่วนคดีอาญาหมายดำที่ 398/2538 ของศาลนี้ไม่ได้นับโทษต่อเพราะยังไม่มีคำพิพากษา
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา ขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยรับฟังข้อเท็จจริงว่า ในความผิดฐานลักรถตามฟ้อง โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานใดมาสืบให้เห็นว่าจำเลยเป็นคนร้ายลักรถคันนี้ จึงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้กระทำความผิดฐานลักทรัพย์ แต่พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบรับฟังได้แจ้งชัดว่าจำเลยกระทำความผิดฐานรับของโจรตามฟ้องโจทก์ และแม้ว่าโจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์แต่เมื่อในทางพิจารณารับฟังได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานรับของโจรแล้ว ศาลฎีกาก็ลงโทษจำเลยฐานรับของโจรได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสาม
อนึ่ง จำเลยเคยต้องคำพิพากษาของศาลชั้นต้นในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1238/2537 ว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสอง, 340 ตรี แต่รอการลงโทษไว้ 2 ปี เมื่อจำเลยมากระทำความผิดในคดีนี้อีกภายในเวลาที่ศาลกำหนด ศาลจึงต้องกำหนดโทษที่รอการกำหนดไว้ในคดีก่อนซึ่งมีอัตราโทษตามกฎหมาย คือ จำคุกตั้งแต่ 18 ปี ถึง 30 ปี และปรับตั้งแต่ 36,000 บาท ถึง 60,000 บาท แต่ศาลชั้นต้นกำหนดโทษก่อนลดมาตราส่วนโทษโดยจำคุกเพียง 3 ปี ซึ่งต่ำกว่าอัตราโทษที่กฎหมายกำหนดไว้ขณะกระทำความผิดคดีดังกล่าวจำเลยมีอายุ 16 ปีเศษ ศาลชั้นต้นลดมาตราส่วนโทษลงกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75จำคุก 1 ปี 6 เดือน และจำเลยรับสารภาพ ลดโทษให้อีกกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 จำคุก 9 เดือน แต่โจทก์มิได้อุทธรณ์ ศาลฎีกาก็เพิ่มเติมโทษจำเลยตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ไม่ได้
พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 357 วรรคหนึ่ง ขณะกระทำความผิดจำเลยมีอายุ 17 ปีเศษเห็นสมควรลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 76 จำคุก 6 เดือน เมื่อบวกกับโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1238/2537 ที่ศาลชั้นต้นกำหนด จำคุก 9 เดือน แล้วรวมจำคุก15 เดือน อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534มาตรา 104(2) ให้เปลี่ยนโทษจำคุกจำเลยเป็นส่งจำเลยไปควบคุมเพื่อฝึกและอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนกลางมีกำหนด 1 ปี

Share