คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2934/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้เสียหายได้จับมือภรรยาจำเลยเพื่อให้ร่วมวงดื่มสุราในบริเวณบ้านผู้เสียหายภรรยาจำเลยปฏิเสธและเดินออกจากบ้านผู้เสียหายมาแล้วจึงเกิดการทะเลาะกับจำเลยด้วยเหตุจำเลยหึงหวงภรรยาและระหว่างที่จำเลยกับภรรยาทะเลาะกันเองอยู่นั้นผู้เสียหายเป็นฝ่ายลุกออกจากบ้านเข้ามาหาจำเลยโดยหลังจากจำเลยเห็นภรรยาถูกผู้เสียหายจับมือในบ้านต้องอดกลั้นความหึงหวงและไม่กล้าที่จะแสดงออกต่อผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้กระทำเป็นเครื่องชี้ให้เห็นถึงเจตนาของจำเลยไม่ประสงค์ที่จะมีเหตุการณ์วิวาทกับผู้เสียหายจึงได้หลีกเลี่ยงชวนภรรยาออกมาจากบ้านผู้เสียหายและเหตุที่จำเลยใช้มีดแทงผู้เสียหายก็เพราะผู้เสียหายได้เข้ามาทำร้ายจำเลยก่อนกรณีจึงมิใช่จำเลยสมัครใจเข้าวิวาทกับผู้เสียหายหากแต่เป็นการป้องกันตัวแต่ผู้เสียหายเข้ามาทำร้ายจำเลยโดยปราศจากอาวุธภยันตรายที่เกิดจึงไม่น่าจะรุนแรงถึงขนาดเป็นอันตรายต่อชีวิตการที่จำเลยใช้มีดแทงผู้เสียหายบริเวณช่องท้องใต้ราวนมข้างซ้ายซึ่งอวัยวะสำคัญอันจะเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายได้เช่นนี้จึงเป็นการป้องกันที่เกินสมควรแก่เหตุจำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา288,80ประกอบด้วยมาตรา69

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 80
จำเลย ให้การ ปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 จำคุก 12 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 8 ปี
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยก ฟ้อง
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติตามที่พยานโจทก์เบิกความเจือสมพยานจำเลยว่าผู้เสียหายได้จับมือภรรยาจำเลยเพื่อให้ร่วมวงดื่มสุราในบริเวณบ้านผู้เสียหาย ภรรยาจำเลยปฏิเสธและเดินออกจากบ้านผู้เสียหายมาแล้วจึงเกิดภาวะทะเลาะกับจำเลยด้วยเหตุจำเลยหึงหวงภรรยา และระหว่างที่จำเลยกับภรรยาทะเลาะกันเองนั้น ผู้เสียหายเป็นฝ่ายลุกออกจากบ้านเข้ามาหาจำเลยแล้วจึงเกิดเหตุคดีนี้ มีปัญหาว่าผู้เสียหายได้ทำร้ายจำเลยก่อนแล้วจึงถูกจำเลยแทง หรือผู้เสียหายเพียงแต่มาพูดจาห้ามปรามจำเลยแล้วถูกจำเลยแทงโดยผู้เสียหายมิได้ทำร้ายจำเลย ข้อนี้พยานโจทก์ที่เบิกความยืนความยืนยันว่ารู้เห็นเหตุการณ์ขณะเกิดเหตุนั้น เบิกความแตกต่างกันทุกปาก กล่าวคือผู้เสียหายเบิกความว่า จำเลยกับภรรยาซึ่งผู้เสียหายไม่ทราบชื่อมายืนทะเลาะกันอยู่ที่หน้าบ้านผู้เสียหายจึงได้ออกไปห้ามปรามและชวนให้เข้ามาดื่มสุราและรับประทานอาหารในบ้าน สักพักหนึ่งจำเลยได้ออกจากบ้านผู้เสียหายไปประมาณ 20 นาที จึงกลับมาใหม่มายื่นอยู่ใต้ต้นมะยมหน้าบ้านและเรียกผู้เสียหายออกไปหา แล้วถามว่าพูดอะไรกับภรรยาจำเลย จากนั้นจำเลยได้ชักมีดแทงผู้เสียหาย แต่นางกอง บุญพามารดาผู้เสียหายเบิกความว่า ภรรยาจำเลยได้มาร่วมงานที่บ้านก่อนแล้วจำเลยมาตามเรียกภรรยาให้กลับ หลังจากนั้นก็เห็นจำเลยทำร้ายภรรยาด้วยการกระชากผมผู้เสียหายเข้าไปพูดห้ามจำเลยจึงชักมีดแทงผู้เสียหายส่วนนางสาวดวงใจ เลื่อนแก้ว ญาติผู้เสียหายเบิกความว่า เห็นจำเลยและภรรยาอยู่ที่หน้าบ้านพร้อมผู้เสียหายห้ามแล้วยังมีการพูดโต้ตอบกันระหว่างจำเลยและผู้เสียหายในเรื่องที่จำเลยถามผู้เสียหายว่าพูดอะไรกับภรรยาจำเลยด้วย จากนั้นจำเลยจึงชักมีดแทงผู้เสียหายพยานโจทก์เบิกความแตกต่างกันเช่นนี้ชี้ให้เห็นว่าคำเบิกความของพยานโจทก์มิได้ตั้งอยู่เป็นพื้นฐานแห่งความจริง เชื่อถือไม่ได้ ทั้งมีความสัมพันธ์เป็นญาติใกล้ชิดกับผู้เสียหายทั้งสิ้น และมีพฤติการณ์ที่ส่อไปในทางที่มีเงื่อนงำซ่อนเร้นข้อเท็จจริงในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวผู้เสียหายที่เบิกความปฏิเสธว่าไม่รู้จักชื่อภรรยาจำเลยทั้งที่เป็นคนหมู่บ้านเดียวกัน และปฏิเสธว่ามิได้จับมือภรรยาจำเลยทั้งยังปฏิเสธถึงขนาดว่าจำเลยและภรรยาได้ทะเลาะกันที่หน้าบ้านก่อน แล้วผู้เสียหายได้ชวนให้เข้ามาดื่มสุราและรับประทานอาหารในบ้าน หลังจากนั้นจึงเกิดเหตุที่จำเลยสงสัยว่าผู้เสียหายพูดอะไรกับภรรยาจำเลย เป็นเหตุให้เกิดคดีนี้ขึ้นซึ่งเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงในส่วนที่เป็นสาเหตุแห่งคดีที่ตนเป็นผู้ก่อและพยายามปกปิดข้อเท็จจริงส่วนที่ไม่เป็นผลดีแก่ตนอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้น เมื่อพิเคราะห์ประกอบกับข้อเท็จจริงที่จำเลยนำสืบแล้วเห็นว่า หลังจากจำเลยเห็นภรรยาถูกผู้เสียหายจับมือในบ้าน ต้องอดกลั้นความหึงหวงมาแสดงออกกับภรรยาที่นอกบ้าน ไม่กล้าที่จะแสดงออกต่อผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้กระทำ เป็นเครื่องชี้ให้เห็นถึงเจตนาของจำเลยว่าไม่ประสงค์ที่จะมีเหตุการณ์วิวาทกับผู้เสียหายจึงได้หลีกเลี่ยงชวนภรรยาออกมาจากบ้านผู้เสียหายข้อเท็จจริงนี้เป็นเครื่องสนับสนุนให้เห็นต่อไปว่า หากผู้เสียหายตามออกมาจากบ้านเพียงเพื่อพูดจาห้ามปราม เหตุร้ายที่จำเลยจะกระทำต่อผู้เสียหายก็ไม่น่าจะเกิดจึงเชื่อว่าที่จำเลยใช้มีดแทงผู้เสียหายเพราะผู้เสียหายได้เข้ามาทำร้ายจำเลยก่อนกรณีจึงมิใช่จำเลยสมัครใจเข้าวิวาทกับผู้เสียหาย หากแต่เป็นการป้องกันตัวอันเนื่องมาจากที่จำเลยถูกผู้เสียหายทำร้ายดังที่จำเลยนำสืบ แต่จากข้อเท็จจริงที่จำเลยนำสืบว่า ผู้เสียหายเข้ามาทำร้ายจำเลยโดยปราศจากอาวุธภยันตรายที่เกิดจึงไม่น่าเชื่อว่าจะรุนแรงถึงขนาดเป็นอันตรายต่อชีวิต ที่จำเลยใช้มีดแทงผู้เสียหายบริเวณช่องท้องใต้ราวนมข้างซ้ายซึ่งอวัยวะสำคัญอันจะเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายได้เช่นนี้จึงเป็นการป้องกันที่เกิดสมควรแก่เหตุ จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 ประกอบด้วยมาตรา 69
พิพากษากลับเป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 80 ประกอบด้วยมาตรา 69 ลงโทษจำคุก 2 ปี เนื่องจากผู้เสียหายเป็นฝ่ายก่อเหตุ และไม่ปรากฎว่าจำเลยเคยต้องโทษจำคุกมาก่อนเห็นควรให้โอกาสจำเลยกลับตัวเป็นพลเมืองดี โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้ มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56

Share