คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1622/2512

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ทรัยพ์มรดกซึ่งหญิงมีสามีมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งก่อนทำการสมรสกับสามีแม้ทรัพย์มรดกนั้นยังไม่ได้แบ่งปันกันก็ย่อมเป็นสินเดิมของหญิงนั้น และเป็นสินบริคณห์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1462 โจทก์ซึ่งเป็นสามีมีสิทธิฟ้องเรียกมรดกส่วนของภริยาซึ่งเป็นสินบริคณห์ระหว่างสามีภริยาได้ ตามมาตรา 1469 และแม้จำเลยเป็นมารดาของภริยาโจทก์ ก็ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 1534 เพราะจำเลยไม่ใช่บุพการีโจทก์ และมิใช่เป็นเรื่องโจทก์ฟ้องแทนภริยา

ย่อยาว

คดีนี้ โจทก์ได้รับอนุญาตให้ฟ้องคดีอย่างคนอนาถาเป็นใจความว่า จำเลยที่ ๑ ในฐานะภริยา และจำเลยที่ ๒ กับภริยาโจทก์ ในฐานะบุตร เป็นทายาทมีสิทธิได้รับมรดก นายสวัสดิ์ผู้ตายซึ่งถึงแก่กรรมในปี พ.ศ. ๒๔๙๖ ระหว่างมีชีวิตอยู่ผู้ตายมีทรัพย์สมบัติที่ดินโฉนด ๑๑๗๒ ตำบลจักรวรรดิ์ อำเภอสัมพันธ์วงศ์ และที่ดินโฉนดที่ ๔๓๖๐ ตำบลบ้านหวาย อำเภอยานนาวา กับสิทธิการเช่าที่ดินสำนักทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และกรรมสิทธิ์เรือนบนที่ดินเช่านี้ ๑ หลัง ปรากฏรายละเอียดตามฟ้อง เมื่อนายสวัสดิ์ถึงแก่กรรม ทรัพย์สินดังกล่าวชอบที่จะแบ่งปันระหว่างทายาท โดยเมื่อกันสินสมรสของจำเลยที่ ๑ออกหนึ่งในสามส่วน ตามกฎหมายลักษณะผัวเมียแล้ว ส่วนที่เหลือสองในสามส่วน ย่อมเป็นมรดกตกได้แก่บุตรและภริยาในฐานะทายาท คนละส่วนเท่า ๆ กัน แต่ปรากฏว่ายังมิได้มีการแบ่งปันทรัพย์มรดกโดยจำเลยที่ ๑ และนางพะเยาว์ภริยาโจทก์ยังคงครอบครองทรัพย์มรดกด้วยกันเรื่อยมาส่วนจำเลยที่ ๒ มิได้ครอบครอง จึงหมดสิทธิในกองมรดก ต่อมาในเดือนมกราคม ๒๕๐๘ โจทก์จึงทราบว่าจำเลยที่ ๑ ได้ลักลอบโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ ๑๑๗๒ บางส่วนแก่จำเลยที่ ๒ และจำเลยทั้งสองได้สมคบกันโอนขายที่ดินโฉนดที่ ๔๓๖๐ ให้แก่ผู้อื่นไปเป็นเงิน ๒๔๐,๐๐๐ บาท โดยปกปิดไม่ได้แบ่งเงินที่ขายได้ให้แก่ภริยาโจทก์เลย นอกจากนี้ยังร่วมกันเก็บเงินค่าเช่าและเงินกินเปล่าในการต่อสัญญาจากผู้เช่าไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวเป็นเงิน ๔๐๕,๐๐๐ บาท นางพะเยาว์ภริยาโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ ๑ เพราะเป็นอุทลุมโจทก์จึงจำเป็นต้องฟ้องคดีเอง เพื่อสงวน บำรุงรักษา และเพื่อประโยชน์แก่สินบริคณห์ขอให้จำเลยที่ ๒ โอนกรรมสิทธิ์กลับคืนมา และนำขายทอดตลาดเอาเงินแบ่งปันซึ่งตกเป็นสินบริคณห์ส่วนของโจทก์และภริยาโจทก์ จำนวน ๒๐๐,๐๐๐ บาท ใหจำเลยทั้งสองแบ่งเงินค่าเช่าและเงินกินเปล่าซึ่งตกเป็นสินบริคณห์ส่วนของโจทก์และภริยาโจทก์ จำนวน ๑๓๕,๐๐๐ บาท ซึ่งจำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดเงินจำนวนนี้พร้อมทั้งดอกเบี้ยนับจากวันฟ้องและให้จำเลยทั้งสองนำเงินสินบริคนห์ส่วนของโจทก์และภริยาโจทก์จากที่ดินโฉนดที่ ๔๓๖๐ เป็นเงิน ๑๓๓,๓๓๓.๓๓ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย จากวันขายเป็นเงิน ๖๖,๖๖๖.๖๖ บาท กับกรรมสิทธิ์ในเรือนบนที่ดินเช่าซึ่งเป็นส่วนของภริยาโจทก์ ๒๐,๐๐๐ บาท
จำเลยที่ ๑ ให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์มิใช่ทายาทของนายสวัสดิ์เจ้ามรดก และคดีขาดอายุความ ที่ดินโฉนดที่ ๑๑๗๒ ตำบลจักรวรรดิ์ ซื้อมาระหว่างสมรสและด้วยเงินสินเดิมของจำเลยที่ ๑ จึงตกเป็นสินเดิมของจำเลยที่ ๑ ส่วนตึกแถวซึ่งเป็นสินสมรสเป็นส่วนของนางพะเยาว์ไม่เกิน ๒๒,๒๒๒ บาท ที่ดินแปลงนี้จำเลยที่ ๑ ได้ให้นางพะเยาว์อาไปประกันเงินกู้ แต่นางพะเยาว์เอาไปจำนองธนาคารเป็นเงิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท และเอาเงิน ๑๔๐,๐๐๐ บาทไว้เป็นของตนเสีย การกระทำของนางพะเยาว์เป็นการปิดบังทรัพย์เกินกว่าส่วนที่ตกได้แก่ตนโดยฉ้อฉล จึงถูกจำกัดมิให้รับมรดก ส่วนที่ดินโฉนดที่ ๔๓๖๐ ตำบลบ้านหวาย เป็นของนางหมิ่นบุตรจำเลยซึ่งเป็นคนต่างด้าว จึงให้จำเลยลงชื่อแทนไว้ สิทธิการเช่าเป็นสิทธิเฉพาะตัว ไม่ตกเป็นมรดก ขอให้ยกฟ้องโจทก์ และพิพากษาว่านางพะเยาว์เป็นผู้ถูกจำกัดมิได้รับมรดก กับให้นำเงิน ๑๔๐,๐๐๐ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยคืนเข้ากองมรดก
จำเลยที่ ๒ ให้การทำนองเดียวกับจำเลยที่ ๑ และต่อสู้ว่า ทรัพย์สินที่โจทก์ฟ้องเป็นมรดกที่ยังมิได้แบ่งปันกันระหว่างทายาท จึงยังไม่เป็นสินบริคณห์ระหว่างโจทก์กับนางพะเยาว์ภริยาโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยจะฟ้องขอให้จำกัดนางพะเยาว์ภริยาโจทก์มิให้รับมรดกไม่ได้ และนางพะเยาว์มิได้ปิดบังยักยอกเงิน ๑๔๐,๐๐๐ บาทจากกองมรดก
ก่อนสืบพยาน นายสิน มนูรัตน์ นายกิจจา มนูรัตน์ และนายหมิ่น แซ่ลี้ ยื่นคำร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความ อ้างวาเป็นบุตรผู้ตายและจำเลยที่ ๑ ขอรับส่วนแบ่งมรดกในฐานะทายาทด้วย ศาลสั่งอนุญาตให้เข้ามาเป็นคู่ความได้
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโดยสั่งงดสืบพยานว่า เป็นเรื่องโจทก์ฟ้องเรียกมรดกแทนภริยาซึ่งมิได้มอบอำนาจให้โจทก์ฟ้อง แต่ภริยาจะมอบอำนาจไม่ได้ เพราะเป็นบุตรจำเลยที่ ๑ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๓๔ และโจทก์จะฟ้องตามมาตรา ๑๔๖๙ ไม่ได้ เพราะขาดหลักเกณฑ์ ไม่มีอำนาจฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๕ ฟ้องแย้งและร้องสอดเป็นอันตกไป พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ระหว่างฎีกา โจทก์ยื่นคำร้องว่าจำเลยที่ ๑ ถึงแก่กรรม ขอให้เรียกจำเลยที่ ๒ เข้ามาเป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ ๑ แต่ปรากฏว่า คำร้องมิได้ยื่นภายใน ๑ปี ศาลจึงสั่งยกคำร้องและจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ ๑
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยเฉพาะปัญหาอำนาจฟ้องของโจทก์ ซึ่งมาสู่ศาลฎีกาในชั้นนี้ว่าเมื่อนายสวัสดิ์เจ้ามรดกถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๖ นางพะเยาว์ภริยาโจทก์เป็นทายาทมีสิทธิได้รับมรดกด้วยผู้หนึ่ง ต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๙๙ นางพะเยาว์สมรสกับโจทก์ ทรัพย์มรดกที่นางพะเยาว์มีสิทธิจะได้รับส่วนแบ่งอันยังมิได้แบ่งปันกันนั้น ย่อมเป็นสินเดิมของนางพะเยาว์และย่อมเป็นสินบริคนห์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๖๒ โจทก์เป็นสามีนางพะเยาว์จึงมีสิทธิฟ้องเรียกเอาทรัพย์มรดกส่วนของนางพะเยาว์ ซึ่งเป็นสินบริคณห์ระหว่างโจทก์กับนางพะเยาว์จากจำเลยที่ ๑ ผู้เป็นมารดาได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๔๖๙ ไม่ต้องห้ามตามมาตรา ๑๕๓๔ เพราะจำเลยที่ ๑ ไม่ใช่บุพการีของโจทก์ และไม่ได้โจทก์ฟ้องแทนภริยา ความเห็นของศาลล่างทั้งสองว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ไม่ต้องด้วยความเห็นศาลฎีกา พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share