แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้รับมรดกเอาทรัพย์อย่างอืนที่ใช้หนี้ให้แก่เจ่าหนี้นั้นเปฯการชำระหนี้ตาม ม. 321 ไม่ใช่เป็นสัญญาปราณีประนอมยอมความมารดาทำสัญญาแบ่งมรดกในส่วนตัวแลแทนบุตร์ผู้เยาว์แลได้ตกลงเอามรดกใช้หนี้ไปในระหว่างนั้น ภายหลังมารดาจะปฏิเสธว่าการตีใช้หนี้ไม่ได้ทำแทนบุตร์ด้วยนั้นไม่ได้
ย่อยาว
ได้ความว่า ช. โจทก็เป็นภรรยา ข. โจทก็นอกนั้นและจำเลยเป็นบุตร์ ข. ได้ตกลงทำสัญญาบ่งทรัพย์มรดกกัน และต่างได้รับทรัพย์ที่แบ่งกันไปแล้ว ปรากฏว่าทองหนัก ๑๓ บาท ๓ สลึง ซึ่งเป็นของ ข. ตกอยู่ที่จำเลย โจทก์จึงฟ้องขอให้แบ่งทองรายนี้ให้โจทก็โดยอ้างว่าเป็นทรัพย์ยังมิได้แบ่งกัน
ศาลอุธรณ์ฟังว่าผู้ตายเป็นหนี้จำเลยอยู่ ทองรายพิพาทนี้ผู้รับมรดกได้ยอมตีใช้หนี้ให้แก่จำเลยและจำเลยได้รับเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว จึงพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฏีกาว่า ถ้าจะฟังว่าได้มีการตกลง ข. โทจก์ก็หาได้ตกลงฐานเป็นผู้แทนเด็กที่เป็นบุตร์ด้วยไม่ แลว่าการตกลงรายนี้เป็นการปราณีประนอมระบังข้อพิพาทมิได้ทำเป็นหนังสือใช้ไม่ได้
ศาลฎีกาเห็นว่า ช. เป็นมารดาเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของบุตร์โดยกำเหนิดอยู่แล้วย่อมมีสิทธิและหน้าที่จะทำความตกลงแทนบุตร์ของตนได้โดยชอบ จะปฏิเสธความรับผิดหาได้ไม่ แลเห็นว่ามูลกรณีมิใช่เป็นเรื่องปราณีประนอมยอมความ เมื่อจำเลยยินยอมรับเอาทองนั้นแล้ว หนี้ก็เป็นอันระงับไปตาม ม. ๓๒๑ จึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์