คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6096/2554

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้อุทธรณ์ของจำเลยไม่ได้ระบุข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่จำเลยประสงค์ยกขึ้นอ้างอิงคัดค้าน หรือกล่าวอ้างว่าศาลชั้นต้นพิพากษาคดีไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายในข้อใด แต่คดีนี้โจทก์มีผู้เสียหายซึ่งเป็นประจักษ์พยานเพียงปากเดียว และศาลชั้นต้นวินิจฉัยถึงความสัมพันธ์ของผู้เสียหายกับจำเลย หน้าที่การงานของผู้เสียหาย และการที่จำเลยผิดนัดไม่ไปสู่ขอผู้เสียหายจนเป็นสาเหตุให้เกิดคดีนี้ แล้วเห็นว่าคำเบิกความของผู้เสียหายมีเหตุผลและมีน้ำหนักรับฟังได้ ดังนั้น การที่จำเลยอุทธรณ์ถึงความสัมพันธ์ฉันสามีภริยาระหว่างจำเลยกับผู้เสียหาย สาเหตุที่ผู้เสียหายโกรธเคืองจำเลยเพราะจำเลยไม่ไปสู่ขอผู้เสียหายตามนัดหมาย และญาติของผู้เสียหายยุให้ดำเนินคดีแก่จำเลยเพื่อเรียกทรัพย์สิน วันเกิดเหตุผู้เสียหายยินยอมสมัครใจไปกับจำเลยเพื่อเจรจาต่อรองเกี่ยวกับคดีอาญาที่ผู้เสียหายแจ้งความร้องทุกข์ไว้ แต่เมื่อผู้เสียหายเรียกร้องเงินจากจำเลยและจำเลยไม่ยินยอมให้ จึงทำให้ผู้เสียหายไม่พอใจ และศาลชั้นต้นมีแนวโน้มจะเชื่อคำเบิกความของผู้เสียหายอันเป็นการขัดต่อหลักการพิจารณาคดี เท่ากับอุทธรณ์ว่าคำเบิกความของผู้เสียหายไม่น่าเชื่อถือและไม่มีน้ำหนักรับฟังลงโทษจำเลยได้ อุทธรณ์ของจำเลยจึงคัดค้านคำพิพากษาของศาลชั้นต้นตาม ป.วิ.อ. มาตรา 193 วรรคสอง แล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 91, 138, 276, 284, 309, 310 ริบของกลาง และนับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 642/2549 ของศาลจังหวัดหนองบัวลำภู
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 วรรคสอง 276 วรรคแรก 284 วรรคแรก 309 วรรคแรก 310 วรรคแรก การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพกับฐานพาผู้อื่นไปเพื่อการอนาจาร เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษฐานพาผู้อื่นไปเพื่อการอนาจารซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุก 2 ปี ฐานหน่วงเหนี่ยวกักขัง จำคุก 2 ปี ฐานข่มขืนกระทำชำเรา จำคุก 6 ปี ฐานขัดขวางเจ้าพนักงานตำรวจ จำคุก 1 ปี รวมจำคุก 11 ปี ริบมีดคัทเตอร์และมีดพับของกลาง กับให้นับโทษจำคุกจำเลยต่อจากโทษจำคุกจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 642/2549 ของศาลจังหวัดหนองบัวลำภู
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายกอุทธรณ์จำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้อุทธรณ์ของจำเลยไม่ได้ระบุข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่จำเลยประสงค์ยกขึ้นอ้างอิงคัดค้าน หรือกล่าวอ้างว่าศาลชั้นต้นพิพากษาคดีไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายในข้อใด แต่คดีนี้โจทก์มีผู้เสียหายซึ่งเป็นประจักษ์พยานมาเบิกความเป็นพยานเพียงปากเดียว และศาลชั้นต้นวินิจฉัยถึงความสัมพันธ์ของผู้เสียหายกับจำเลยว่ามิใช่ข้อบ่งชี้ว่าผู้เสียหายจะยินยอมสมัครใจในการกระทำของจำเลยในทุก ๆ โอกาสโดยเฉพาะคดีนี้ หน้าที่การงานของผู้เสียหาย การเดินทางโดยไม่ได้ตระเตรียมตัว และการที่จำเลยผิดนัดไม่ไปสู่ขอผู้เสียหายตามที่ตกลงกันไว้จนเป็นสาเหตุให้เกิดคดีนี้ โดยเห็นว่าคำเบิกความของผู้เสียหายมีเหตุผลที่มาที่ไปและมีน้ำหนักรับฟังได้ กับเชื่อว่ามูลเหตุที่จำเลยก่อครั้งนี้ด้วยความรักใคร่ที่จำเลยมีต่อผู้เสียหายฝ่ายเดียวถึงได้ขาดสติยับยั้งกระทำวู่วามพาผู้เสียหายไปตามที่ตนเองต้องการ การที่จำเลยอุทธรณ์โดยกล่าวว่าจำเลยและผู้เสียหายมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้งแน่นแฟ้นกันมาก่อนประมาณ 1 ปี และใช้ชีวิตคู่ด้วยกันอย่างเปิดเผย แต่ยังไม่ได้จดทะเบียนสมรสตามกฎหมายเท่านั้น สาเหตุที่เกิดคดีนี้เนื่องจากปัญหาเรื่องการหมั้นและการสู่ขอตามประเพณี เพราะฝ่ายจำเลยและญาติพี่น้องมิได้มาตามกำหนดนัด ก่อนเกิดเหตุจำเลยต้องการเจรจากับผู้เสียหายเพื่อปรึกษาหารือต่อรองเกี่ยวกับคดีอาญาซึ่งมีหลายคดีที่ผู้เสียหายได้แจ้งความร้องทุกข์ไว้ ศาลชั้นต้นมีแนวโน้มที่จะเชื่อผู้เสียหายเพื่อหลีกเลี่ยงกระบวนการพิสูจน์พยานหลักฐานที่ยุ่งยากและตามผู้เสียหายเบิกความ ซึ่งเป็นการขัดต่อหลักการพิจารณาคดีโดยเปิดเผย ความตั้งใจของจำเลยเพียงแต่จะปรึกษาและเจรจาต่อรองเกี่ยวกับคดีอาญากับผู้เสียหายซึ่งเป็นอนุภริยาให้ถอนฟ้องแต่ละคดีที่ได้แจ้งความไว้ที่สถานีตำรวจหลายแห่ง และญาติของผู้เสียหายมีหนี้สินจำนวนมาก ตามสภาพแห่งความเป็นจริงแล้ว ผู้เสียหายซึ่งเป็นอนุภริยามิอยากแจ้งความร้องทุกข์เพียงแต่กลุ่มญาติยุยงส่งเสริมให้กระทำเพื่อให้ดำเนินคดีอาญากับจำเลยเพื่อที่จะเรียกร้องเงิน และต่อมาจึงเป็นเหตุให้โกรธเคืองกัน มูลเหตุแห่งคดีจำเลยโทรศัพท์ติดต่อผู้เสียหายเพื่อนัดเจรจาตกลงเกี่ยวกับการต่อรองในคดีอาญาที่ผู้เสียหายแจ้งความไว้ และผู้เสียหายให้จำเลยไปรับโดยระบุสถานที่บ้านของเพื่อนน้องชาย ต่อมาจำเลยไปรับผู้เสียหายและเดินทางไปยังจังหวัดสุโขทัยเพื่อพบญาติของจำเลยเพื่อปรึกษาและเจรจาต่อรองในคดีอาญา แต่ระหว่างเดินทางผู้เสียหายร้องขอเงินจำนวน 500,000 บาท และจะถอนฟ้องทุกคดี จำเลยปฏิเสธ ทำให้ผู้เสียหายไม่พอใจแล้วยุติความสัมพันธ์ ดังนี้ เห็นได้ว่าจำเลยอุทธรณ์ถึงความสัมพันธ์ฉันสามีภริยาระหว่างจำเลยกับผู้เสียหาย สาเหตุที่ผู้เสียหายโกรธเคืองจำเลยเพราะจำเลยไม่ไปสู่ขอผู้เสียหายตามนัดหมาย และญาติของผู้เสียหายยุให้ดำเนินคดีแก่จำเลยเพื่อเรียกทรัพย์สิน วันเกิดเหตุผู้เสียหายยินยอมสมัครใจไปกับจำเลยเพื่อเจรจาต่อรองเกี่ยวกับคดีอาญาที่ผู้เสียหายแจ้งความร้องทุกข์จำเลยไว้ แต่เมื่อผู้เสียหายเรียกร้องเงินจากจำเลยและจำเลยไม่ยินยอมให้ จึงทำให้ผู้เสียหายไม่พอใจ เท่ากับอุทธรณ์ว่าคำเบิกความของผู้เสียหายไม่น่าเชื่อถือและไม่มีน้ำหนักรับฟังลงโทษจำเลยได้ อุทธรณ์ของจำเลยจึงคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 วรรคสอง แล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 ให้ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share