คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5727/2554

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 19 ให้ศาลบันทึกใจความแห่งฟ้องไว้เป็นหลักฐานไม่จำต้องบันทึกโดยละเอียด แต่ก่อนบันทึกฟ้อง ศาลอาจจะสอบถามโจทก์เกี่ยวกับข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่จำเลยกระทำผิด และจะบันทึกไว้เฉพาะข้อความสำคัญ ส่วนบันทึกการฟ้องด้วยวาจาของโจทก์เป็นเพียงส่วนหนึ่งของฟ้องด้วยวาจาของโจทก์เท่านั้น เมื่อบันทึกการฟ้องด้วยวาจาของโจทก์และคำฟ้องที่ศาลชั้นต้นบันทึกไว้ปรากฏว่าโจทก์ระบุว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันและร่วมกันเล่นไพ่รัมมี่ ย่อมเข้าใจได้ว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันแล้ว แม้โจทก์จะไม่บรรยายว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดหลายกรรมและบรรยายฟ้องเกี่ยวกับความผิดของจำเลยที่ 1 ในแต่ละข้อหาเป็นข้อย่อยมาให้ชัดเจน อีกทั้งคำขอท้ายฟ้องก็มิได้ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ก็ตาม ไม่อาจถือว่าบันทึกการฟ้องด้วยวาจาของโจทก์ไม่ชัดเจนว่าโจทก์ไม่ประสงค์ลงโทษจำเลยที่ 1 ในแต่ละข้อหาแยกเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ทั้งการที่คำขอท้ายฟ้องไม่ได้ระบุประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 มาด้วย ศาลก็ลงโทษจำเลยที่ 1 ทุกกรรมเป็นกระทงความผิดได้ ไม่เป็นการเกินคำขอ เมื่อคดีนี้จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ ซึ่งข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามฟ้องว่า จำเลยที่ 1 จัดให้มีการเล่นการพนันไพ่รัมมี่ แล้วจำเลยที่ 1 เข้าร่วมเล่นการพนันกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ด้วย สภาพแห่งการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการกระทำที่มีเจตนาต่างกัน คือ จัดให้มีการเล่นก็โดยมีเจตนาเพื่อนำมาซึ่งผลประโยชน์แห่งตน เมื่อจำเลยที่ 1 จัดให้มีการเล่น จำเลยที่ 1 ก็ได้ผลประโยชน์แห่งตนแล้ว เป็นความผิดสำเร็จไปกรรมหนึ่ง และเมื่อจำเลยที่ 1 เข้าร่วมเล่นการพนันด้วยเป็นการที่จำเลยที่ 1 มีเจตนาเข้าพนันเอาเงินหรือทรัพย์สินอย่างอื่นกับผู้ร่วมเล่นคนอื่น จึงเป็นความผิดอีกกรรมหนึ่ง ดังนี้ จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดหลายกรรมต่างกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ.2478 มาตรรา 4, 5, 6, 10, 12, 15 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83 ริบของกลาง และให้จำเลยทั้งสามจ่ายเงินสินบนนำจับแก่ผู้นำจับตามกฎหมาย
จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษา ลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานเป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนัน ปรับ 2,000 บาท จำเลยที่ 2 และที่ 3 ปรับคนละ 1,600 บาท จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 1,000 บาท ปรับจำเลยที่ 2 และที่ 3 คนละ 800 บาท หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบของกลาง ให้จำเลยทั้งสามจ่ายเงินสินบนนำจับแก่ผู้นำจับกึ่งหนึ่งของค่าปรับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิพากษาว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องด้วยวาจาซึ่งตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2490 มาตรา 19 ให้ศาลบันทึกใจความแห่งฟ้องไว้เป็นหลักฐานหาจำต้องบันทึกโดยละเอียดไม่และก่อนบันทึกฟ้อง ศาลอาจจะสอบถามโจทก์เกี่ยวกับข้อเท็จจริงต่างๆ ที่จำเลยกระทำความผิดได้ แต่ก็บันทึกไว้เฉพาะข้อความสำคัญ ส่วนบันทึกการฟ้องด้วยวาจาของโจทก์เป็นเพียงส่วนหนึ่งของฟ้องด้วยวาจาของโจทก์เท่านั้น เมื่อพิเคราะห์บันทึกการฟ้องคดีอาญาด้วยวาจาของโจทก์และคำฟ้องที่ศาลชั้นต้นบันทึกไว้ ก็ปรากฏว่าโจทก์ได้ระบุว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดให้มีการเล่นและร่วมเล่นการพนันไพ่รัมมี่ ซึ่งเข้าใจได้ว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันแล้ว แม้โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดหลายกรรมและบรรยายฟ้องเกี่ยวกับความผิดของจำเลยที่ 1 ในแต่ละข้อหาเป็นข้อย่อยมาให้ชัดเจน อีกทั้งคำขอท้ายฟ้องก็มิได้ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัย ก็ไม่อาจถือว่าบันทึกการฟ้องคดีอาญาด้วยวาจาของโจทก์ไม่ชัดเจนว่าโจทก์ประสงค์จะให้ศาลลงโทษจำเลยที่ 1 ในแต่ละข้อหาแยกเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ทั้งการที่คำขอท้ายฟ้องไม่ได้ระบุประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 มาด้วย ศาลก็ลงโทษจำเลยที่ 1 ทุกกรรมเป็นกระทงความผิดได้ ไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ คดีจึงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดให้มีการเล่นพนันไพ่รัมมี่ แล้วจำเลยที่ 1 เข้าร่วมเล่นการพนันกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ด้วย สภาพแห่งการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการกระทำที่มีเจตนาต่างกัน กล่าวคือ การจัดให้มีการเล่นก็โดยเจตนาเพื่อนำมาซึ่งผลประโยชน์แห่งตน ซึ่งเมื่อจำเลยที่ 1 จัดให้มีการเล่นจำเลยที่ 1 ก็ได้ผลประโยชน์แห่งตนแล้ว ซึ่งเป็นความผิดสำเร็จไปกรรมหนึ่ง และเมื่อจำเลยที่ 1 เข้าร่วมเล่นการพนันด้วยเป็นการที่จำเลยที่ 1 มีเจตนาเข้าพนันเอาเงินหรือทรัพย์สินอย่างอื่นกับผู้ร่วมเล่นคนอื่น จึงเป็นความผิดอีกกรรมหนึ่ง ดังนี้ จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดหลายกรรมต่างกัน ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานร่วมกันเป็นผู้เข้าเล่นการพนันอีก กระทงหนึ่ง ปรับ 1,600 บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงปรับ 800 บาท เมื่อรวมกันโทษปรับในความผิดฐานเป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 แล้ว รวมปรับ 1,800 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6

Share