แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำบรรยายฟ้องของโจทก์ตามเช็คพิพาทฉบับที่ 2 และที่ 3 เป็นการกล่าวอ้างว่า จำเลยกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 (1) และ (3) ฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องที่ครบองค์ประกอบความผิดแล้ว แม้คำฟ้องโจทก์เกี่ยวกับเช็คพิพาทฉบับที่ 2 และที่ 3 จะมิได้บรรยายว่า จำเลยห้ามธนาคารมิให้ใช้เงินตามเช็คนั้นโดยเจตนาทุจริตตามมาตรา 4 (5) ด้วยก็ตาม ก็หาทำให้ฟ้องของโจทก์ซึ่งบรรยายครบองค์ประกอบความผิด ตามมาตรา 4 (1) และ (3) แล้ว ต้องขาดองค์ประกอบความผิดไปแต่อย่างใดไม่
แม้โจทก์ร่วมจะไม่ได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยรับเบี้ยประกันภัยจากลูกค้าในนามบริษัทโจทก์ร่วมตามแบบที่นายทะเบียนกำหนดไว้ตาม พ.ร.บ.ประกันวินาศภัย พ.ศ.2535 มาตรา 66 อันมีผลให้การกระทำของโจทก์ร่วมและจำเลยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวก็ตาม ก็เป็นเรื่องที่พนักงานเจ้าหน้าที่จะดำเนินการแก่โจทก์ร่วมและจำเลย แต่ในระหว่างตัวแทนกับตัวการด้วยกัน ตัวแทนจะอ้างบทกฎหมายดังกล่าวเพื่อไม่ต้องรับผิดคืนเบี้ยประกันภัยที่ได้รับไว้จากลูกค้าของโจทก์ร่วมหาได้ไม่
ย่อยาว
คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลชั้นต้นสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกัน
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 และนับโทษจำเลยในคดีทั้งสองสำนวนนี้ต่อกัน
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ระหว่างพิจารณา บริษัทซีจียู ประกันภัย (ไทย) จำกัด ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 (ที่ถูกมาตรา 4 (1) (3) (5) เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกกระทงละ 6 เดือน รวม 6 กระทง จำคุก 36 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ฟ้องโจทก์ขาดองค์ประกอบความผิดหรือไม่ เห็นว่า ความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 บัญญัติถึงการกระทำที่เป็นความผิดไว้รวม 5 อนุมาตราด้วยกันการสั่งจ่ายเช็คหรือการออกเช็คที่เข้าลักษณะในแต่ละอนุมาตราเป็นความผิดด้วยกันทั้งสิ้น ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับเช็คพิพาทฉบับที่ 2 ถึงที่ 4 และที่ 6 สรุปได้ว่า จำเลยออกเช็คพิพาทดังกล่าวมอบให้แก่โจทก์ร่วมเพื่อชำระหนี้เงินที่จำเลยในฐานะตัวแทนของโจทก์ร่วมรับมาจากผู้เอาประกันภัยของโจทก์ร่วม แต่จำเลยยังไม่ได้ส่งมอบเงินให้แก่โจทก์ร่วม ซึ่งเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย เมื่อเช็คพิพาทดังกล่าวถึงกำหนด โจทก์ร่วมนำไปเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงิน ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินโดยให้เหตุผลว่ามีคำสั่งให้ระงับการจ่าย ทั้งนี้ จำเลยออกเช็คพิพาทฉบับที่ 2 และที่ 3 โดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้น หรือให้ใช้เงินมีจำนวนสูงกว่าจำนวนเงินที่มีอยู่ในบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินได้ในขณะที่ออกเช็คนั้น จำเลยออกเช็คพิพาท ฉบับที่ 4 โดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้น หรือห้ามธนาคารมิให้ใช้เงินตามเช็คนั้นโดยเจตนาทุจริต และจำเลยออกเช็คพิพาทฉบับที่ 6 โดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้น หรือให้ใช้เงินมีจำนวนสูงกว่าจำนวนเงินที่มีอยู่ในบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินได้ในขณะที่ออกเช็คนั้น หรือห้ามธนาคารมิให้ใช้เงินตามเช็คนั้นโดยเจตนาทุจริต เห็นได้ว่าคำบรรยายฟ้องของโจทก์ดังกล่าวตามเช็คพิพาทฉบับที่ 2 และที่ 3 เป็นการกล่าวอ้างว่า จำเลยกระทำความผิดตามมาตรา 4 (1) และ (3) ส่วนเช็คพิพาทฉบับที่ 4 กล่าวอ้างว่า จำเลยกระทำความผิดตามมาตรา 4 (1) และ (5) และเช็คพิพาทฉบับที่ 6 กล่าวอ้างว่า จำเลยกระทำความผิดตามมาตรา 4 (1) (3) และ (5) ดังนี้ ฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องที่ครบองค์ประกอบความผิดแล้ว แม้คำฟ้องโจทก์เกี่ยวกับเช็คพิพาทฉบับที่ 2 และที่ 3 จะมิได้บรรยายว่า จำเลยห้ามธนาคารมิให้ใช้เงินตามเช็คนั้นโดยเจตนาทุจริตตามมาตรา 4 (5) ด้วยก็ตาม ก็หาทำให้ฟ้องของโจทก์ซึ่งบรรยายครบองค์ประกอบความผิด ตามมาตรา 4 (1) และ (3) แล้ว ต้องขาดองค์ประกอบความผิดไปแต่อย่างใดไม่ ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล
พิพากษายืน.