คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1977/2548

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

บันทึกเงื่อนไขการชำระหนี้ที่ตกลงว่า จำเลยทั้งสองยินยอมผ่อนชำระต้นเงินตามเช็คที่โจทก์นำมาฟ้องในคดีนี้และคดีอื่นๆ อีก 7 คดี เป็นต้นเงินรวม 15,677,063.59 บาท โดยผ่อนชำระเป็นงวด ๆ รวม 47 งวด พร้อมชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินตามเช็คแต่ละฉบับ โดยผ่อนชำระ 4 งวด และโจทก์จะจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์บรรทุกให้แก่จำเลยที่ 1 เมื่อจำเลยทั้งสองชำระดอกเบี้ยในแต่ละงวด หากจำเลยทั้งสองปฏิบัติตามบันทึกนี้ครบถ้วนแล้วโจทก์จะถอนฟ้องคดีนี้และคดีอื่นๆ เป็นคดีไป หากผิดเงื่อนไขข้อใดข้อหนึ่ง ยินยอมให้โจทก์แถลงต่อศาลเพื่อยกคดีที่จำเลยทั้งสองยังไม่ชำระต้นเงินตามเช็คให้แก่โจทก์ขึ้นพิจารณาคดีต่อไป เป็นข้อตกลงในการผ่อนชำระหนี้ตามเช็คที่โจทก์นำมาฟ้องในแต่ละคดีเท่านั้นอันเป็นเงื่อนไขที่โจทก์จะปฏิบัติในภายหน้า และไม่มีข้อความตอนใดแสดงว่า โจทก์ตกลงระงับข้อพิพาทหรือสละสิทธิ์ในการดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยทั้งสองทันที จึงไม่มีผลเป็นการยอมความกัน สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ยังไม่ระงับตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (2) ทั้งจำเลยทั้งสองไม่ผ่อนชำระหนี้ให้แก่โจทก์ หนี้ที่ได้ออกเช็คเพื่อชำระหนี้นั้นย่อมไม่สิ้นผลผูกพันตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 7
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 แต่ศาลชั้นต้นเห็นว่า สิทธิของโจทก์ในการนำคดีอาญามาฟ้องระงับไปให้จำหน่ายคดีโดยยังมิได้วินิจฉัยฟ้องของโจทก์ว่า จำเลยทั้งสองกระทำตามฟ้องหรือไม่ ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ชอบที่จะย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่เพื่อให้การวินิจฉัยความผิดของจำเลยทั้งสองเป็นไปตามลำดับศาล แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพก็ตาม เพราะผลแห่งคำวินิจฉัยของศาลล่างทั้งสองตามลำดับอาจนำไปสู่การกำจัดสิทธิการฎีกาของคู่ความได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 208 (2)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณปลายเดือนมิถุนายน 2537 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันสั่งจ่ายเช็คธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) สาขากำแพงแสน จำนวน 5 ฉบับ ฉบับแรกลงวันที่ 31 พฤษภาคม 2540 จำนวน 374,915 บาท ฉบับที่ 2 ลงวันที่ 10 มิถุนายน 2540 จำนวนเงิน 470,748.75 บาท ฉบับที่ 3 ลงวันที่ 30 มิถุนายน 2540 จำนวนเงิน 374,915 บาท ฉบับที่ 4 ลงวันที่ 10 กรกฎาคม 2540 จำนวนเงิน 466,915 บาท ฉบับที่ 5 ลงวันที่ 31 กรกฎาคม 2540 จำนวนเงิน 374,915 บาท โดยเช็คทั้ง 5 ฉบับ ดังกล่าวมีจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายพร้อมประทับตราสำคัญของจำเลยที่ 1 ส่งมอบแก่โจทก์เพื่อชำระหนี้ค่าเช่าซื้อรถยนต์บรรทุกหัวลาก ยี่ห้อวอลโล่ ที่จำเลยที่ 1 เช่าซื้อไปจากโจทก์ ซึ่งเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย ต่อมาเมื่อเช็คถึงกำหนด ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คทั้ง 5 ฉบับ เมื่อวันที่ 2 และ 11 มิถุนายน 2540 วันที่ 2, 11 และ 31 กรกฎาคม 2540 ตามลำดับ ให้เหตุผลเช่นเดียวกันว่า “มีคำสั่งให้ระงับการจ่ายเงิน” จำเลยทั้งสองมีเจตนาออกเช็คโดยไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 90 และ 91 และให้นับโทษจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 3574/2539, 4266/2539, 263/2540, 1047/2540 และ 258/2540 ของศาลชั้นต้น
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ และรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ระหว่างนัดฟังคำพิพากษา จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 20 มีนาคม 2543 ขอให้ศาลชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมาย และโจทก์ยื่นคำแถลงคัดค้านฉบับลงวันที่ 24 มีนาคม 2543
ศาลชั้นต้นเห็นว่า บันทึกเงื่อนไขการชำระหนี้ระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสองมีลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ หนี้ที่จำเลยทั้งสองได้ออกเช็คพิพาทเพื่อใช้เงินเป็นอันระงับสิ้นผลผูกพันไปก่อนที่ศาลจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด คดีเป็นอันเลิกกัน สิทธิของโจทก์ในการนำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป จึงจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่
โจทก์และจำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังว่า เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้ จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธก่อน ในระหว่างการพิจารณาคดีโจทก์และจำเลยทั้งสองได้ทำบันทึกเงื่อนไขการชำระหนี้ฉบับลงวันที่ 11 มีนาคม 2541 และจำเลยทั้งสองขอถอนคำให้การเดิมที่ให้การปฏิเสธ แล้วให้การใหม่ยอมรับสารภาพว่าได้กระทำความผิดตามฟ้อง ต่อมาจำเลยทั้งสองผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามบันทึกเงื่อนไขชำระหนี้ฉบับดังกล่าว โจทก์จึงขอให้ศาลชั้นต้นยกคดีขึ้นพิจารณาต่อไป ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่าบันทึกเงื่อนไขการชำระหนี้ฉบับดังกล่าวเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความและสิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ระงับไปหรือไม่ เห็นว่า ตามบันทึกเงื่อนไขการชำระหนี้ฉบับลงวันที่ 11 มีนาคม 2541 มีใจความว่า จำเลยทั้งสองยินยอมผ่อนชำระต้นเงินตามเช็คที่โจทก์นำมาฟ้องในคดีนี้และคดีอื่นๆ อีก 7 คดี เป็นต้นเงินรวม 15,677,063.59 บาท โดยตกลงผ่อนชำระเป็นงวดๆ รวม 47 งวด พร้อมชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินตามเช็คแต่ละฉบับ โดยผ่อนชำระ 4 งวด และโจทก์จะจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์บรรทุกให้แก่จำเลยที่ 1 เมื่อจำเลยทั้งสองชำระดอกเบี้ยในแต่ละงวด หากจำเลยทั้งสองปฏิบัติตามบันทึกนี้ครบถ้วนแล้วโจทก์จะถอนฟ้องคดีนี้และคดีอื่นๆ เป็นคดีไป แต่หากจำเลยทั้งสองผิดเงื่อนไขข้อใดข้อหนึ่งจำเลยทั้งสองยินยอมให้โจทก์แถลงต่อศาลเพื่อยกคดีที่จำเลยทั้งสองยังไม่ชำระต้นเงินตามเช็คให้แก่โจทก์ขึ้นพิจารณาคดีต่อไป เห็นได้ว่า เป็นข้อตกลงในการผ่อนชำระหนี้ตามเช็คที่โจทก์นำมาฟ้องในแต่ละคดีเท่านั้น โดยจำเลยทั้งสองจะต้องผ่อนชำระหนี้ตามเช็คพร้อมดอกเบี้ยในแต่ละคดีอันเป็นเงื่อนไขที่โจทก์จะปฏิบัติในภายหน้าและตามบันทึกเงื่อนไขการชำระหนี้ดังกล่าวก็ไม่มีข้อความตอนใดแสดงว่า โจทก์ตกลงระงับข้อพิพาทหรือสละสิทธิ์ในการดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยทั้งสองทันทีแต่อย่างใด จึงไม่มีผลเป็นการยอมความกันโดยถูกต้องตามกฎหมาย สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ยังไม่ระงับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (2) เมื่อจำเลยทั้งสองไม่ผ่อนชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามข้อตกลงดังกล่าวหนี้ที่ได้ออกเช็คเพื่อชำระหนี้นั้นย่อมไม่สิ้นผลผูกพันตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 7 คำพิพากษาฎีกาที่จำเลยทั้งสองอ้างเพื่อสนับสนุนฎีกาของจำเลยทั้งสองนั้น ตามคำพิพากษาฎีกาดังกล่าวเป็นกรณีที่คู่ความทำสัญญาประนีประนอมยอมความใช้เงินตามเช็คพิพาทในคดีแพ่งและศาลได้พิพากษาคดีตามยอมแล้ว จึงมีผลทำให้การเรียกร้องซึ่งแต่ละฝ่ายได้สละนั้นระงับสิ้นไป โจทก์คงมีสิทธิเรียกให้จำเลยชำระหนี้แก่ตนตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยรับผิดในมูลหนี้ตามเช็คได้อีกซึ่งต่างจากคดีนี้เนื่องจากบันทึกเงื่อนไขการชำระหนี้ในคดีนี้ไม่ใช่สัญญาประนีประนอมยอมความดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยมานั้น ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
ส่วนข้อที่โจทก์ฎีกาว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 208 (2) จะต้องเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกระบวนพิจารณา เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 7 เห็นว่า สิทธิในการนำคดีอาญามาฟ้องยังไม่ระงับและจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเช่นนี้ ศาลฎีกาชอบที่จะพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองต่อไปและนับโทษต่อจากคดีอาญาอื่นๆ ตามฟ้องนั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 แต่ศาลชั้นต้นเห็นว่าสิทธิของโจทก์ในการนำคดีอาญามาฟ้องระงับไปให้จำหน่ายคดีโดยยังมิได้วินิจฉัยฟ้องของโจทก์ว่า จำเลยทั้งสองกระทำตามฟ้องหรือไม่ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 เห็นควรย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ก็เพื่อให้การวินิจฉัยความผิดของจำเลยทั้งสองเป็นไปตามลำดับศาล เพราะผลแห่งคำวินิจฉัยของศาลล่างทั้งสองตามลำดับอาจนำไปสู่การกำจัดสิทธิการฎีกาของคู่ความได้ จึงเป็นการใช้อำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 208 (2) ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาใหม่นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share