แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ผู้ร้องอ้างมาในคำร้องว่าผู้ร้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดี โดยศาลจังหวัดอุบลราชธานีและศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดขายทอดตลาด จำเลยที่ 2 เป็นเพียงผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์แทนผู้ร้อง แม้คดีดังกล่าวยังอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา แต่คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ย่อมผูกพันคู่ความนับตั้งแต่วันที่ได้พิพากษาจนถึงวันที่คำพิพากษานั้นได้ถูกเปลี่ยนแปลง แก้ไข กลับ หรืองดเสีย ถ้าหากมี และอาจใช้ยันแก่บุคคลภายนอกได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 (2) ถือได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีซึ่งต้องเสียหายเพราะการบังคับคดีนั้น จึงมีสิทธิขอให้เพิกถอนหรือแก้ไขกระบวนวิธีการบังคับคดีได้ตาม มาตรา 296 วรรคสอง
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินตามสัญญาบัญชีเดินสะพัดจำนวน 7,108,886.11 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 18 ต่อปี นับแต่วันที่ 31 พฤษภาคม 2536 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้ร่วมกันชำระหนี้ค่าเบี้ยประกันภัยจำนวน 10,430.11 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีในต้นเงิน 9,334 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วนให้ยึดทรัพย์จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 28856 ตำบลตลาดเหนือ อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต พร้อมสิ่งปลูกสร้าง และที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 431 หมู่ที่ 2 ตำบลกะรน อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต พร้อมสิ่งปลูกสร้าง และทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน แต่จำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์จึงขอหมายบังคับคดีนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์จำนองที่ดิน น.ส.3 พร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ ต่อมาเจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างนั้นไปในราคา 30,000,000 บาท
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีโดยศาลจังหวัดอุบลราชธานีและศาลอุทธรณ์ (ที่ถูก ศาลอุทธรณ์ภาค 3) พิพากษาว่าที่ดินโฉนดและ น.ส.3 ดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องและให้ผู้ร้องจำหน่ายที่ดินพร้อมทั้งสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดภายในเวลาที่อธิบดีกรมที่ดินกำหนด ตามคำพิพากษาศาลจังหวัดอุบลราชธานีคดีหมายเลขดำที่ 1372/2535 หมายเลขแดงที่ 1833/2535 และคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ (ที่ถูก ศาลอุทธรณ์ภาค 3) คดีหมายเลขดำที่ 65/2544 หมายเลขแดงที่ 540/2544 เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีโดยฝ่าฝืนกฎหมาย ขอให้เพิกถอนหรือแก้ไขกระบวนการบังคับคดีที่ได้ดำเนินการไปแล้ว และขอให้มีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีงดการบังคับคดีไว้ก่อนระหว่างรอการวินิจฉัยคำร้องของผู้ร้องจนกว่าคดีจะถึงที่สุด
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ผู้ร้องมิใช่เป็นผู้มีส่วนได้เสียในคดีที่โจทก์นำยึดแต่เป็นความฟ้องร้องกับจำเลยที่ 2 อีกคดีหนึ่งต่างหาก ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องให้เป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า “เห็นว่า ผู้ร้องอ้างมาในคำร้องว่าผู้ร้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดี โดยศาลจังหวัดอุบลราชธานีและศาลอุทธรณ์ (ที่ถูก ศาลอุทธรณ์ภาค 3) พิพากษาว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดขายทอดตลาด จำเลยที่ 2 เป็นเพียงผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์แทนผู้ร้อง แม้คดีดังกล่าวยังอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา แต่คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ (ที่ถูก ศาลอุทธรณ์ภาค 3) ย่อมผูกพันคู่ความนับตั้งแต่วันที่ได้พิพากษาจนถึงวันที่คำพิพากษานั้นได้ถูกเปลี่ยนแปลง แก้ไข กลับ หรืองดเสีย ถ้าหากมี และอาจใช้ยันแก่บุคคลภายนอกได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 (2) ดังนั้น หากได้ความตามคำร้อง ถือได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีซึ่งต้องเสียหายเพราะการบังคับคดีนั้น จึงมีสิทธิขอให้เพิกถอนหรือแก้ไขกระบวนวิธีการบังคับคดีได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคสอง ที่ศาลชั้นต้นด่วนยกคำร้องโดยไม่ไต่สวนให้ได้ความก่อน จึงไม่ชอบ อุทธรณ์ของผู้ร้องฟังขึ้น”
พิพากษากลับให้รับคำร้องแล้วให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นนี้ให้เป็นพับ