คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 609/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ยกที่ดินพิพาทตีใช้หนี้แก่โจทก์แล้ว ต่อมาจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 สมคบกันโอนที่ดินพิพาทโดยจำเลยที่ 2 รับโอนโดยไม่สุจริตและไม่เสียค่าตอบแทน แม้โจทก์ยังไม่ได้จดทะเบียนรับโอนที่ดินพิพาท เพียงเข้า ครอบครองก็ตาม แต่ถือว่าโจทก์เป็นบุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อน โจทก์จึงมีสิทธิเรียกให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งสามแปลงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ ให้จำเลยที่ ๑ จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งสามแปลงแก่โจทก์ โดยจำเลยที่ ๑ เป็นผู้อาศัยค่าใช้จ่าย ค่าธรรมเนียม และค่าภาษีในการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามให้โจทก์มีสิทธิดำเนินการได้เอง โดยถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง หากจำเลยทั้งสองไม่ส่งมอบโฉนดที่ดิน ขอให้มี คำสั่งออกใบแทนเพื่อให้คำพิพากษาเป็นผล และหากจำเลยที่ ๑ ไม่สามารถจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งสามแปลงแก่โจทก์เพราะสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดให้กระทำได้ ให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงิน ๔,๙๕๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตรา ร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ ใช้เงินจำนวน ๑,๑๒๓,๖๐๓ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินจำนวน ๙๑๔,๓๔๓ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยแล้ว เห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักเชื่อว่า จำเลยที่ ๑ ยกที่ดินพิพาททั้งสามแปลง ตีใช้หนี้ให้แก่โจทก์แล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ ๑ สมคบกับจำเลยที่ ๒ โอนที่ดินพิพาททั้งสามแปลงโดยไม่สุจริต และไม่เสียค่าตอบแทนหรือไม่ พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนัก เชื่อว่าจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ สมคบกันโอนที่ดินพิพาททั้งสามแปลงโดยจำเลยที่ ๒ รับโอนโดยไม่สุจริตและไม่เสียค่าตอบแทน แม้โจทก์ยังไม่ได้ จดทะเบียนรับโอนที่ดินพิพาททั้งสามแปลง เพียงเข้าครอบครองก็ตาม แต่ถือว่าโจทก์เป็นบุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อน โจทก์จึงย่อมมีสิทธิเรียกให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาททั้งสามแปลงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ ได้
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาททั้งสามแปลงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับ จำเลยที่ ๒ และให้จำเลยที่ ๑ จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาททั้งสามแปลงให้แก่โจทก์ โดยให้โจทก์กับ จำเลยที่ ๑ ออกค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมคนละครึ่ง หากจำเลยที่ ๑ ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ ๑ หากจำเลยที่ ๑ ไม่สามารถจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาททั้งสามแปลงให้แก่โจทก์เพราะสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้กระทำได้ ให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงิน ๔,๙๕๐,๐๐๐ บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตรา ร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

Share