แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาทให้ ว.แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ต่อมา ว. ถึงแก่ความตายโจทก์ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของว.ได้ฟ้องให้จำเลยให้รับผิดตามเช็คพิพาท เมื่อปรากฏว่าว. ผู้ทรงเช็คถึงแก่ความตายภายหลังเช็คพิพาทถึงกำหนด และอายุความสิทธิเรียกร้องตามเช็คจะครบกำหนด ภายในหนึ่งปีนับแต่วันตายอันเป็นโทษแก่ว. ผู้ตาย จึงต้องขยายอายุความออกไปเป็นหนึ่งปีนับแต่ วันที่ว. ถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/23
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า นายเที่ยง บัญลือสิงห์ และจำเลยที่ 2ร่วมกันสั่งจ่ายเช็คจำนวน 3 ฉบับ รวมเป็นเงิน1,146,331 บาท ชำระหนี้เงินยืมให้แก่นายวิชัย บุรณศิริเมื่อเช็คถึงกำหนดนายวิชัยนำไปเรียกเก็บเงิน ปรากฏว่าธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินทั้ง 3 ฉบับ ต่อมาวันที่ 21 มิถุนายน 2537 นายวิชัยถึงแก่ความตาย โจทก์ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของนายวิชัยทวงถามให้นายเที่ยงและจำเลยที่ 2 ชำระหนี้ตามเช็ค แต่นายเที่ยงได้ถึงแก่ความตายแล้วโดยมีจำเลยที่ 1 เป็นทายาท และจำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดกและทายาทของนายเที่ยง โจทก์ทวงถามจำเลยทั้งสองให้ชำระหนี้ตามเช็ค จำเลยทั้งสองขอผัดผ่อนเรื่อยมาขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินตามเช็คจำนวน 1,146,331 บาทให้แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี จากต้นเงินตามเช็คแต่ละฉบับนับแต่วันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเป็นต้นไป คิดถึงวันฟ้องเป็นค่าดอกเบี้ย 118,750 บาทรวมต้นเงินและดอกเบี้ยจำนวน 1,283,372 บาท
จำเลยทั้งสองให้การว่า คดีโจทก์ขาดอายุความ เพราะโจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อพ้นกำหนด 1 ปี นับแต่วันที่โจทก์ได้รู้หรือควรได้รู้ถึงการตายของนายเที่ยง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ในฐานะทายาท และจำเลยที่ 2ในฐานะทายาทและผู้จัดการมรดกของนายเที่ยง บัญลือสิงห์ และในฐานะส่วนตัวร่วมกันชำระเงินตามเช็คพิพาท ฉบับแรก จำนวน22,530.53 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่27 ธันวาคม 2537 และตามเช็คฉบับที่สอง จำนวนเงิน100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราเดียวกัน นับแต่วันที่25 สิงหาคม 2536 เป็นต้นไป และตามเช็คฉบับที่สาม จำนวนเงิน1,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราเดียวกัน นับแต่วันที่13 กันยายน 2536 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ให้รับผิดในจำนวนเงินที่ไม่เกินจากทรัพย์มรดกที่จำเลยที่ 1 ได้รับ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองฎีกาข้อเดียวว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754กรณีไม่ต้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/23 นั้นข้อเท็จจริงยุติตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัย โดยจำเลยทั้งสองไม่ได้ฎีกาโต้แย้งว่า นายเที่ยง บรรลือสิงห์ เจ้ามรดกและจำเลยที่ 2 ร่วมกันลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาทรวม 3 ฉบับให้นายวิชัย บุรณศิริ แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ต่อมาวันที่ 3 ตุลาคม 2536 นายเที่ยงเจ้ามรดกถึงแก่ความตาย และในวันที่ 21 มิถุนายน 2537 นายวิชัยถึงแก่ความตาย โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนายวิชัยผู้ตาย ฟ้องให้จำเลยทั้งสองรับผิดตามเช็คพิพาท เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/23 บัญญัติว่า อายุความสิทธิเรียกร้องอันเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่ผู้ตาย ถ้าจะครบกำหนดภายในหนึ่งปีนับแต่วันตายอายุความนั้นยังไม่ครบกำหนดจนกว่าจะครบหนึ่งปีนับแต่วันตายคดีนี้นายวิชัยผู้ทรงเช็คถึงแก่ความตายภายหลังเช็คพิพาทแต่ละฉบับถึงกำหนดและอายุความสิทธิเรียกร้องตามเช็คจะครบกำหนดภายในหนึ่งปีนับแต่วันตายอันเป็นโทษแก่นายวิชัยผู้ตาย จึงต้องขยายอายุความออกไปเป็นหนึ่งปีนับแต่วันที่นายวิชัยถึงแก่ความตายคือวันที่ 21 มิถุนายน 2537 ซึ่งจะครบกำหนดหนึ่งปีในวันที่ 21 มิถุนายน 2538 โจทก์ฟ้องคดีนี้วันที่20 มิถุนายน 2538 จึงไม่ขาดอายุความ
พิพากษายืน