แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
หนังสือรับรองการเป็นนิติบุคคลและผู้เป็นกรรมการโจทก์นายทะเบียนจะต้องแต่งย่อรายการซึ่งได้ลงทะเบียนส่งไปลงพิมพ์โฆษณาในหนังสือราชกิจจานุเบกษา และถือว่าบรรดาเอกสารและข้อความซึ่งลงทะเบียนในย่อเอกสารนั้นเป็นอันรู้แก่บุคคลทั้งปวงตามที่ได้บัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1021 และ 1022ดังนั้น แม้โจทก์จะส่งแต่ภาพถ่ายเอกสารก็ไม่ทำให้พยานหลักฐานของโจทก์เสียไปหนังสือฉบับนี้เป็นภาพถ่ายหนังสือรับรองออกโดยสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร กรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์ต้นฉบับอยู่ในอารักขาของราชการ ซึ่งหนังสือรับรองที่ถ่ายภาพมามีนายทะเบียนสำนักงานทะเบียนลงลายมือชื่อและประทับตราไว้ ย่อมเพียงพอที่จะรับฟังภาพถ่ายฉบับนี้แทนต้นฉบับเอกสารได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบรถยนต์คืนโจทก์พร้อมค่าภาษีมูลค่าเพิ่มที่โจทก์ได้ชำระแทนไปก่อน5,726 บาท หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคา 315,360 บาท พร้อมภาษีมูลค่าเพิ่มอีก 20 งวด นับถัดจากวันฟ้องเป็นเงิน 16,360 บาทและค่าเสียหาย 40,000 บาท กับค่าเสียหายเดือนละ 9,000 บาทนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบรถยนต์คืนหรือใช้ราคาเสร็จและให้ร่วมกันชำระดอกเบี้ยในเงินต้น 361,086 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี
จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษา ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบรถยนต์คันที่เช่าซื้อคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคา 143,345 บาท และให้ร่วมกันชำระค่าเสียหายเดือนละ2,000 บาท นับแต่วันที่ 5 กันยายน 2536 เป็นต้นไปจนกว่าจะคืนหรือใช้ราคารถยนต์ให้โจทก์ แต่ทั้งนี้ให้ไม่เกิน 1 ปี คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายมีว่า ภาพถ่ายหนังสือรับรองการเป็นนิติบุคคลของโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.1 รับฟังเป็นพยานหลักฐานได้หรือไม่ เห็นว่า เอกสารหมาย จ.1 เป็นหนังสือรับรองการเป็นนิติบุคคลและผู้เป็นกรรมการโจทก์ นายทะเบียนจะต้องแต่งย่อรายการซึ่งได้ลงทะเบียน ส่งไปลงพิมพ์โฆษณาในหนังสือราชกิจจานุเบกษา และถือว่าบรรดาเอกสารและข้อความซึ่งลงทะเบียนในย่อเอกสารนั้นเป็นอันรู้แก่บุคคลทั้งปวงตามที่ได้บัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1021 และ 1022 ดังนั้น แม้โจทก์จะส่งแต่ภาพถ่ายเอกสารก็ไม่ทำให้พยานหลักฐานของโจทก์เสียไป หนังสือฉบับนี้เป็นภาพถ่ายหนังสือรับรองออกโดยสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร กรมทะเบียนการค้ากระทรวงพาณิชย์ ต้นฉบับอยู่ในอารักขาของราชการ ซึ่งหนังสือรับรองที่ถ่ายภาพมามีนายทะเบียนสำนักงานทะเบียนลงลายมือชื่อและประทับตราไว้ ย่อมเพียงพอที่จะรับฟังภาพถ่ายฉบับนี้แทนต้นฉบับเอกสารได้
ประเด็นที่จะวินิจฉัยข้อต่อไปเรื่องค่าเสียหายกรณีส่งมอบรถคืนไม่ได้และกรณีโจทก์ขาดประโยชน์จากการใช้รถและค่าภาษีมูลค่าเพิ่มตามสัญญาเช่าซื้อข้อนี้แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 2มิได้วินิจฉัยไว้ แต่โจทก์ได้ยกประเด็นไว้ในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกา ทั้งโจทก์ได้สืบพยานไว้เสร็จสิ้นแล้ว เห็นสมควรวินิจฉัยไปโดยไม่ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิจารณาอีกและศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า หากจำเลยที่ 1 ส่งมอบรถคืนไม่ได้ เห็นสมควรให้โจทก์ได้รับชดใช้เป็นเงิน 207,000 บาทส่วนค่าขาดประโยชน์ที่เกิดจากการไม่ได้ใช้ทรัพย์นั้น เห็นสมควรให้โจทก์ได้รับเท่ากับอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงิน207,000 บาท เป็นเงินเดือนละ 2,587.50 บาท ส่วนดอกเบี้ยของราคารถที่ขาดนั้นไม่เห็นสมควรกำหนดให้เพราะได้กำหนดค่าขาดประโยชน์เป็นค่าเสียหายให้เป็นจำนวนพอสมควรแล้วสำหรับค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม เมื่อโจทก์ได้ชำระค่าภาษีมูลค่าเพิ่มจำนวน 5,726 บาท ไปก่อนแล้วจำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดใช้เงินจำนวนนี้คืนแก่โจทก์ตามข้อสัญญาดังกล่าว จำเลยที่ 2เป็นผู้ค้ำประกันอย่างลูกหนี้ร่วม ต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์
พิพากษากลับว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคา 207,000 บาท ให้ร่วมกันชำระค่าภาษีมูลค่าเพิ่มจำนวน5,726 บาท และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าขาดประโยชน์เดือนละ2,587.50 บาท ตั้งแต่วันที่ 5 กันยายน 2536 เป็นต้นไปจนกว่าจะคืนรถที่เช่าซื้อหรือใช้ราคารถแทน คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก