แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้โจทก์ในฐานะเจ้าหนี้จะมีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเพื่อการไม่ชำระหนี้ โดยยึดเอาเบี้ยปรับในฐานเป็นจำนวนน้อยที่สุดแห่งค่าเสียหาย และพิสูจน์ค่าเสียหายยิ่งกว่านั้นได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 380 วรรคสองก็ตาม แต่เมื่อศาลเห็นว่าเบี้ยปรับที่กำหนดไว้ 2,000,000 บาท นั้นเป็นจำนวนพอสมควรและไม่สูงเกินส่วนแล้ว จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายยิ่งกว่าจำนวนเบี้ยปรับนั้น
แม้จำเลยที่ 1 และที่ 2 จะต้องรับผิดในค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์แต่ฝ่ายเดียวตามข้อตกลงในหนังสือสัญญาจะซื้อขาย ข้อ 3 แต่ก็เป็นความรับผิดที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 จะพึงต้องปฏิบัติตามสัญญาในฐานะผู้ขายเมื่อไปดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ เมื่อโจทก์มิได้บรรยายฟ้องและมีคำขอบังคับในส่วนนี้ด้วย การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มิได้ระบุเงื่อนไขข้อนี้ลงไว้ในคำพิพากษาจึงชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 142 แล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 4399 และ 14509 ตำบลตลิ่งชัน อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ฉบับลงวันที่ 29 มีนาคม 2547 ระหว่างจำเลยที่ 2 กับ ที่ 4 โดยให้จำเลยที่ 2 และที่ 4 ไปจดทะเบียนเพิกถอนการซื้อขายที่สำนักงานที่ดินจังหวัดพระนครศรีอยุธยา สาขาวังน้อย ภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวให้แก่โจทก์ หากไม่ไปให้โจทก์ชำระเงินด้วยวิธีวางทรัพย์และให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 44,835,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสี่ให้การและฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องโจทก์ และบังคับโจทก์ส่งมอบที่ดินคืนแก่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 โดยชดใช้ค่าเสียหายรวมเป็นเงิน 4,600,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และค่าขาดประโยชน์จากการใช้ที่ดินเดือนละ 300,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าจะส่งมอบที่ดินคืนแก่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และ ที่ 4
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระเงินค่าขนย้าย ค่าการงานที่ได้กระทำไปแล้วจำนวน 600,000 บาท คืนแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้โจทก์ส่งมอบที่ดินพิพาททั้งสองแปลงคืนแก่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 พร้อมรื้อถอนป้ายชื่อโจทก์ออกไปจากที่ดิน และชำระเงินค่าใช้ที่ดินจำนวน 100,000 บาท พร้อมค่าใช้ที่ดินในอัตราเดือนละ 50,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าจะส่งมอบที่ดินคืนแก่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 คำขออื่นให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 4399 และ 14509 ตำบลตลิ่งชัน อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ฉบับลงวันที่ 29 มีนาคม 2547 ระหว่างจำเลยที่ 2 กับที่ 4 ให้จำเลยที่ 2 และที่ 4 จดทะเบียนเพิกถอนการซื้อขายที่สำนักงานที่ดินจังหวัดพระนครศรีอยุธยา สาขาวังน้อย ภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ให้จำเลยที่ 2 โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวให้แก่โจทก์ภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา หากไม่ไปให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ให้โจทก์ชำระเงินค่าที่ดินทั้งสองแปลงส่วนที่เหลือจำนวน 35,000,000 บาท แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ด้วยวิธีวางทรัพย์ต่อสำนักงานบังคับคดีจังหวัดพระนครศรีอยุธยาในวันเดียวกับที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระเงินจำนวน 2,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 100,000 บาท ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 ค่าฤชาธรรมเนียมที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 3 ให้เป็นพับ ยกฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสี่ ค่าฤชาธรรมเนียมฟ้องแย้งทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์สมควรได้รับเงินที่จ่ายให้ผู้เช่าออกจากที่ดินที่เช่าจำนวน 200,000 บาท จากจำเลยทั้งสี่หรือไม่ เห็นว่า เนื่องจากสัญญาจะซื้อขายหรือสัญญาวางมัดจำ ข้อ 4 กำหนดให้โจทก์มีสิทธิได้รับเงิน 2,000,000 บาท เป็นเบี้ยปรับจากการผิดสัญญาไม่ชำระหนี้ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแล้ว แม้โจทก์ในฐานะเจ้าหนี้จะมีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเพื่อการไม่ชำระหนี้ โดยยึดเอาเบี้ยปรับ 2,000,000 บาท ในฐานเป็นจำนวนน้อยที่สุดแห่งค่าเสียหาย และพิสูจน์ค่าเสียหายยิ่งกว่านั้นได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 380 วรรคสอง ก็ตาม แต่เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 เห็นว่าเงิน 2,000,000 บาท เป็นเบี้ยปรับที่กำหนดไว้เป็นจำนวนพอสมควรและไม่สูงเกินส่วนแล้ว ซึ่งศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายยิ่งกว่าจำนวนเบี้ยปรับนั้น ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มิได้กำหนดให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ต้องรับผิดในค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ จึงควรกำหนดไว้ให้ถูกต้องนั้น เห็นว่า แม้จำเลยที่ 1 และที่ 2 จะต้องรับผิดในค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายส่วนนี้แต่ฝ่ายเดียวตามข้อตกลงในหนังสือสัญญาจะซื้อขาย ข้อ 3 ก็ตาม ก็เป็นความรับผิดของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ที่จะพึงต้องปฏิบัติตามสัญญาในฐานะผู้ขายเมื่อไปดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ เมื่อโจทก์มิได้บรรยายฟ้องและมีคำขอบังคับในส่วนนี้ด้วย การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มิได้ระบุเงื่อนไขข้อนี้ลงไว้ในคำพิพากษาจึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 แล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ