แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นลงโทษปรับจำเลยสถานเดียวเป็นเงิน 56,025 บาท คดีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
ประกาศกระแสพระบรมราชโองการให้ใช้สัญญาว่าด้วยการเดินรถไฟระหว่างพระราชอาณาจักรสยามกับกลันตัน ไทรบุรี เปอร์ลิศ และสหรัฐมลายู ลงวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2467 เป็นพระบรมราชโองการของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ซึ่งเป็นพระมหากษัตริย์ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมาย เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วถือว่าเป็นที่ทราบทั่วกันและเป็นข้อที่ศาลรับรู้ได้เอง มิใช่เป็นข้อเท็จจริงที่ต้องนำสืบโจทก์จึงไม่ต้องนำสืบถึงความมีอยู่ของประกาศกระแสพระบรมราชโองการดังกล่าว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.๒๔๖๙ มาตรา ๒๗ พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ๙) พ.ศ.๒๔๘๒ มาตรา ๑๖, ๑๗ พระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๐๔ มาตรา ๔, ๒๒, ๓๘ ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๓๐๘ พระราชบัญญัติควบคุมการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ.๒๔๘๒ มาตรา ๓ พระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๔, ๕,๗, ๒๐, ๒๔ พระราชกฤษฎีกาควบคุมการส่งออกไปนอกราชอาณาจักรซึ่งสินค้าบางอย่าง (ฉบับที่ ๒๙) พ.ศ.๒๕๐๙ มาตรา ๓ ประกาศกระแสพระบรมราชโองการให้ใช้สัญญาว่าด้วยการเดินรถไฟระหว่างพระราชอาณาจักรสยามกับกลันตัน ไทรบุรี เปอร์ลิส และสหรัฐมลายู ริบพระพุทธรูปของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานนำของต้องห้าม ต้องกำกัดออกไปนอกราชอาณาจักรโดยมิได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๕, ๗, ๒๐ พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.๒๔๖๙ มาตรา ๒๗ เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ.๒๕๒๒ ซึ่งเป็นบทหนักปรับ ๕ เท่าของราคาสินค้าเป็นเงิน ๑๑๒,๐๕๐ บาท คำให้การของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดี เป็นเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงปรับ ๕๖,๐๒๕ บาทริบพระพุทธรูปของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้ลงโทษปรับจำเลยสถานเดียวเป็นเงิน ๕๖,๐๒๕ บาทจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๘ ที่จำเลยฎีกาว่าพระพุทธรูปของกลางเป็นของบุคคลอื่น มิใช่ของจำเลย จำเลยเพียงแต่ช่วยเหลือในการขออนุญาตนำออกนอกราชอาณาจักรเท่านั้น ล้วนแต่เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลล่างทั้งสองรับฟังมา เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงที่ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย
คงมีปัญหาข้อกฎหมายที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่าประกาศกระแสพระบรมราชโองการให้ใช้สัญญาว่าด้วยการเดินรถไฟระหว่างพระราชอาณาจักรสยามกับกลันตัน ไทรบุรี เปอร์ลิศและสหรัฐมลายู มีข้อความว่า เมื่อพ้นกำหนด ๑๐ ปีแล้ว ให้มีอายุต่อไปเป็นปี ๆ จนกว่าคู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะบอกเลิก ถ้ามีการบอกเลิกเช่นนี้แล้ว ให้สัญญานี้สิ้นอายุเมื่อพ้นกำหนด ๑ ปี นับจากวันที่ได้รับแจ้งความบอกเลิกนั้น โจทก์มิได้นำสืบว่าประกาศกระแสพระบรมราชโองการดังกล่าวยังใช้บังคับอยู่และคู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยังมิได้บอกเลิก จำเลยย่อมไม่มีความผิด ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนซึ่งศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงมาว่า เจ้าหน้าที่ศุลกากรตรวจค้นพบพระพุทธรูปของกลางอยู่ในห้องนอนบนตู้รถไฟที่สถานีรถไฟร่วมปาดังเบซาร์อันเป็นสถานีรถไฟร่วมระหว่างไทย – มาเลเซีย ซึ่งอยู่ในเขตประเทศมาเลเซียซึ่งตามประกาศกระแสพระบรมราชโองการในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ ให้ศาลของประเทศไทยมีอำนาจชำระคดีได้ พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าประกาศกระแสพระบรมราชโองการให้ใช้สัญญาว่าด้วยการเดินรถไฟ ระหว่างพระราชอาณาจักรสยามกับกลันตัน ไทรบุรี เปอร์ลิศและสหรัฐมลายู ลงวันที่ ๒๔ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๖๗ เป็นพระบรมราชโองการของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ ซึ่งเป็นพระมหากษัตริย์ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ จึงมีผลบังคับใช้เป็นกฎหมาย เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ย่อมถือว่าเป็นที่ทราบทั่วกัน จึงเป็นข้อที่ศาลรับรู้ได้เอง มิใช่เป็นข้อเท็จจริงที่คู่ความจะต้องนำสืบ โจทก์จึงหาต้องนำสืบถึงความมีอยู่ของบทกฎหมายดังที่จำเลยฎีกามาแต่อย่างใดไม่ ศาลล่างทั้งสองพิพากษาคดีมาชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.