คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 588/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยกับ ป. ซึ่งถึงแก่กรรมไปแล้ว เนื่องจาก ป. ได้ยกบ้านและที่ดินพิพาทให้โจทก์เป็นเรือนหอก่อนแล้ว จำเลยให้การว่าบ้านและที่ดินพิพาทเป็นของ ป. ซึ่งได้ยกให้จำเลยโดยได้จดทะเบียนถูกต้องและ ป. ยังทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินทั้งหมดให้จำเลยเพียงผู้เดียวคดีจึงมีประเด็นข้อพิพาทเพียงประเด็นเดียวตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ว่าบ้านและที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2วินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของ ป. และไม่ได้ยกให้แก่โจทก์หรือจำเลยแล้วพิพากษาให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทกลับคืนเป็นชื่อของ ป. ตามเดิม จึงเป็นการพิพากษานอกฟ้องนอกประเด็น
ข้อเท็จจริงได้ความว่าโจทก์มิได้อยู่กินร่วมกันในบ้านพิพาทมาตลอดหากเพียงแต่พักอาศัยอยู่ลักษณะเป็นการชั่วคราว ดังจะเห็นได้จากที่โจทก์แยกครอบครัวไปอยู่ที่อื่นหลังจากนั้นไม่นาน ประกอบกับไม่มีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์บ้านและที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ ทั้งได้ความจากปลัดอำเภอผู้จัดทำหนังสือมอบอำนาจจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้ ป. ว่า ป.ต้องการแบ่งที่ดินพิพาทส่วนที่ไม่มีบ้านให้จำเลย ส่วนที่ดินพิพาทบริเวณที่มีบ้านจะเก็บไว้ก่อน เช่นนี้พอชี้ชัดได้ว่า ป. มิได้ยกบ้านและที่ดินพิพาทให้โจทก์เป็นสิทธิเด็ดขาด พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักน้อยกว่าพยานหลักฐานของจำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 3475 ตำบลบางนา (บางมอญ) อำเภอมหาราช (นครใหญ่)จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (กรุงเก่า) ส่วนที่มีสิ่งปลูกสร้างเนื้อที่ 2 ไร่ 1 งาน43 ตารางวา และบ้านเลขที่ 45 ที่ปลูกสร้างอยู่ในที่ดินแปลงดังกล่าวให้กลับคืนเป็นชื่อของนายไป๋กับนางแฉล้มตามเดิม โดยให้จำเลยเป็นผู้เสียค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านดังกล่าว หากจำเลยไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ให้เจ้าพนักงานที่ดินทำการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านเป็นชื่อของนายไป๋กับนางแฉล้มตามเดิมหากโอนคืนไม่ได้ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 965,800 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะชำระเงินให้แก่โจทก์ทั้งสองเสร็จสิ้น

จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 3475 ตำบลบางนา (บางมอญ) อำเภอมหาราช(นครใหญ่) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (กรุงเก่า) เฉพาะส่วนที่มีสิ่งปลูกสร้างเนื้อที่ 2 ไร่ 1 งาน 43 ตารางวา ตามแผนที่สังเขปให้กลับคืนเป็นชื่อนายไป๋กับนางแฉล้ม กองทิพย์ตามเดิม โดยให้จำเลยเป็นผู้เสียค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าว หากจำเลยไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย หากโอนคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนจำนวน 400,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีคำพิพากษาเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่กองมรดกของนายไป๋กับนางแฉล้ม คำขออื่นให้ยก

โจทก์ทั้งสองและจำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ยุติตามที่คู่ความไม่ฎีกาโต้แย้งกันว่า โจทก์ที่ 1 เป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ที่ 2 ส่วนจำเลยเป็นน้องสาวร่วมบิดามารดากับโจทก์ที่ 2 บ้านและที่ดินพิพาทคือ บ้านเลขที่ 45และที่ดินเนื้อที่ 2 ไร่ 1 งาน 43 ตารางวา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 3475 ตามฟ้องเดิมบ้านและที่ดินพิพาทเป็นของนายไป๋กับนางแฉล้มกองทิพย์ บิดามารดาของโจทก์ที่ 2 และจำเลย ขณะพิพาทกัน นายไป๋และนางแฉล้มถึงแก่ความตายแล้ว ส่วนที่ดินโฉนดเลขที่ 3475 ทั้งแปลงปัจจุบันมีชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์

มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสองประการแรกว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาว่า ที่ดินพิพาทเป็นของนายไป๋ กับนางแฉล้มกองทิพย์ ไม่ใช่ทั้งของโจทก์ทั้งสองหรือของจำเลย เป็นการพิพากษานอกฟ้องนอกประเด็นหรือไม่ เห็นว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องว่า นายไป๋กับนางแฉล้มยกบ้านและที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสองเป็นเรือนหอ การที่จำเลยผู้รับมอบอำนาจไปดำเนินการจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 3475 ทั้งแปลงซึ่งรวมที่ดินพิพาทด้วยเป็นของจำเลย ทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย จึงขอให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนดังกล่าว จำเลยให้การว่า บ้านและที่ดินโฉนดเลขที่3475 เป็นของนายไป๋กับนางแฉล้ม ซึ่งต่อมานายไป๋กับนางแฉล้มได้ยกที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลยโดยได้จดทะเบียนถูกต้อง นอกจากนี้นายไป๋ยังทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินของตนทั้งหมดทั้งที่เป็นสังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ให้แก่จำเลยเพียงผู้เดียว บ้านและที่ดินโฉนดเลขที่ 3475 จึงเป็นของจำเลย คดีจึงมีประเด็นข้อพิพาทเพียงประเด็นเดียวตามที่ศาลชั้นต้นชี้สองสถานและกำหนดประเด็นพิพาทไว้ว่าบ้านและที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสองหรือไม่การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยในส่วนของที่ดินพิพาทว่าเป็นของนายไป๋กับนางแฉล้ม และไม่ได้ยกให้แก่โจทก์ทั้งสองหรือจำเลย แล้วพิพากษาให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทกลับคืนเป็นชื่อนายไป๋กับนางแฉล้มตามเดิมจึงเป็นการพิพากษานอกฟ้องนอกประเด็น เป็นการไม่ชอบ ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ทั้งสองฟังขึ้น

ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสองประการต่อไปซึ่งสมควรวินิจฉัยไปพร้อมกับฎีกาของจำเลยมีว่า บ้านและที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสองหรือไม่ โจทก์ทั้งสองเบิกความประกอบกันว่า เมื่อปี 2501 นายไป๋กับนางแฉล้มยกบ้านและที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสองเป็นเรือนหอโดยโจทก์ที่ 1 จ่ายเงินเป็นค่าตอบแทน 4,000 บาท ตามบันทึกท้ายทะเบียนสมรสเอกสารหมาย จ.3 ความข้อนี้โจทก์ทั้งสองมีนายทับทิม กองทิพย์ น้องชายโจทก์ที่ 2นางหยุดหรือสายหยุด ธะสุ เพื่อนบ้านข้างเคียงเป็นพยานเบิกความสนับสนุนว่า ภายหลังโจทก์ทั้งสองสมรสกันแล้ว โจทก์ทั้งสองอยู่กินด้วยกันที่บ้านเลขที่ 45ร่วมกับนายไป๋ นางแฉล้ม นายทับทิมและจำเลย แต่โจทก์ที่ 2 เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า ขณะโจทก์ทั้งสองแยกครอบครัวไปอยู่ที่อื่น จำเลยยังคงอยู่ที่บ้านเลขที่ 45 และได้ความจากคำเบิกความของจำเลยว่า ในปี 2506ที่จำเลยสมรสกับนายสุรินทร์ เฉลิมโอฐ จำเลยกับสามีอยู่ด้วยกันที่บ้านเลขที่ 45จนถึงปี 2520 จึงแยกครอบครัวไปอยู่ที่บ้านเลขที่ 45/1 ส่วนนายไป๋กับนางแฉล้มอยู่ด้วยกันที่บ้านเลขที่ 45 จนกระทั่งถึงแก่ความตายทั้งสองคน เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าโจทก์ทั้งสองมิได้อยู่กินร่วมกันในบ้านเลขที่ 45 มาตลอด หากเพียงแต่พักอาศัยอยู่ที่บ้านดังกล่าวลักษณะเป็นการชั่วคราว ดังจะเห็นได้จากที่โจทก์ทั้งสองแยกครอบครัวไปอยู่ที่อื่นหลังจากนั้นไม่นาน ประกอบกับไม่มีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์บ้านและที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสอง ทั้งยังได้ความจากคำเบิกความของนายสมบัติ คงเมือง ปลัดอำเภอมหาราช ผู้จัดทำหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.8 และ จ.9 ให้นายไป๋กับนางแฉล้มว่า นายไป๋กับนางแฉล้มต้องการแบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 3475 ส่วนที่ไม่มีบ้านให้แก่จำเลยส่วนบริเวณที่ดินพิพาทซึ่งมีบ้านเลขที่ 45 ปลูกสร้างอยู่นั้นจะเก็บไว้ก่อนเช่นนี้พอชี้ชัดได้ว่านายไป๋กับนางแฉล้มมิได้ยกบ้านและที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสองเป็นสิทธิเด็ดขาดดังที่โจทก์ทั้งสองอ้าง ส่วนความข้อ 1 ในบันทึกท้ายทะเบียนสมรสเอกสารหมาย จ.7 ที่ว่า “ฝ่ายหญิงได้เรียกเงินค่าเรือนจากฝ่ายชายเป็นเงิน 4,000 บาท” นั้น น่าจะหมายถึงนายไป๋กับนางแฉล้มยินยอมให้โจทก์ที่ 1 ผู้เป็นบุตรเขตได้สิทธิเพียงแค่อาศัยอยู่ในบ้านเลขที่ 45 เท่านั้นพยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสองมีน้ำหนักน้อยกว่าพยานหลักฐานของจำเลยข้อเท็จจริงเชื่อได้ว่านายไป๋กับนางแฉล้มมิได้ยกบ้านและที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสอง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาข้อนี้ของโจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้น ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น”

พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

Share