คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6802/2545

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยใช้อาวุธปืนที่มีประสิทธิภาพในการทำลายล้างสูงและสามารถก่อให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตได้โดยง่ายยิงผู้เสียหายในระยะใกล้ และยิงถูกร่างกายผู้เสียหายกระสุนปืนเข้าที่ปอดด้านซ้าย ช่องท้อง ถูกลำไส้ใหญ่และลำไส้เล็กอันเป็นอวัยวะส่วนสำคัญ แม้จำเลยจะอ้างว่ากระทำไปโดยอารมณ์ชั่ววูบด้วยความหึงหวงก็ต้องถือว่าจำเลยกระทำโดยเจตนาฆ่าผู้เสียหาย
จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายเป็นเพราะนายดาบตำรวจ อ. สามีจำเลย ได้แสดงความรักใคร่ในทำนองพลอดรักกับผู้เสียหาย ซึ่งมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับนายดาบตำรวจอ. สามีจำเลย ย่อมทำให้จำเลยได้รับความกระทบกระเทือนทางด้านจิตใจอย่างรุนแรงและถือได้ว่าจำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายไปในขณะนั้นโดยทันทีจึงเป็นการกระทำโดยเหตุบันดาลโทสะ แม้จะไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายกับนายดาบตำรวจ อ. ทราบว่าจำเลยอยู่ในบริเวณที่เกิดเหตุขณะที่บุคคลทั้งสองพลอดรักกันก็ตาม แต่เมื่อการกระทำดังกล่าวมีผลเป็นการข่มเหงจำเลยแล้ว ก็มีเหตุที่จำเลยจะบันดาลโทสะได้หาจำต้องเป็นกรณีที่ผู้เสียหายกระทำโดยเจตนามุ่งที่จะข่มเหงจำเลยโดยตรงแต่ประการใดไม่
การที่จำเลยนำอาวุธปืนของกลางที่นายดาบตำรวจ อ. ใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ราชการติดตัวไปโดยมุ่งประสงค์จะนำไปมอบให้นายดาบตำรวจ อ. ใช้ในการดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยในงานกฐิน ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยมีอาวุธปืนของกลางไว้ในครอบครองเพราะจำเลยมิได้เจตนาจะยึดไว้อย่างเป็นเจ้าของ ทั้งการที่จำเลยนำอาวุธปืนติดตัวไปเพื่อมอบให้นายดาบตำรวจ อ. ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจไว้ใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ถือได้ว่ามีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ที่จะพาอาวุธปืนของกลางไปได้ แม้จำเลยจะนำอาวุธปืนติดตัวไปที่บ้านที่เกิดเหตุก็เป็นการกระทำต่อเนื่องกันจำเลยจึงไม่มีความผิดฐานมีอาวุธปืนและพาอาวุธปืน แม้ความผิดข้อหาดังกล่าวจะยุติไปแล้วตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ แต่เนื่องจากเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวพันกับความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย ศาลฎีกาจึงมีอำนาจที่จะหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 215 และมาตรา 225

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80, 371,91 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ

จำเลยให้การว่า จำเลยใช้อาวุธปืนของกลางยิงทำร้ายผู้เสียหายจริง แต่เป็นการป้องกันสิทธิของตนเองและเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ ส่วนความผิดฐานอื่นให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 (ที่ถูกมาตรา 371 ด้วย) และพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 วรรคสาม, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91ความผิดฐานพยายามฆ่า ให้ลงโทษจำคุก 10 ปี ความผิดฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ให้จำคุก 6 เดือน และความผิดฐานพาอาวุธปืนไปใช้โดยไม่ได้รับใบอนุญาต ให้จำคุก 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพในความผิดฐานพยายามฆ่า และทางนำสืบของจำเลยเกี่ยวกับอาวุธปืนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา สมควรลดโทษให้กึ่งหนึ่งในความผิดฐานพยายามฆ่าและลดให้หนึ่งในสามในความผิดฐานมีอาวุธปืนฯ และฐานพาอาวุธปืนฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงลงโทษจำคุกฐานพยายามฆ่า 5 ปี ฐานมีอาวุธปืนฯ และฐานพาอาวุธปืนฯ ฐานละ 4 เดือน รวมจำคุก 5 ปี 8 เดือน

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติในเบื้องต้นว่า ในวันเวลาเกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยได้ใช้อาวุธปืนของกลางยิงนางสาวพรเพ็ญ สินศิริ ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายสาหัส มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า จำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายหรือไม่ เห็นว่า การที่จำเลยใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธที่มีประสิทธิภาพในการทำลายล้างสูงและสามารถก่อให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตได้โดยง่ายยิงผู้เสียหายในระยะใกล้ และยิงถูกร่างกายผู้เสียหายกระสุนปืนเข้าที่ปอดด้านซ้าย ช่องท้องถูกลำไส้ใหญ่และลำไส้เล็กอันเป็นอวัยวะส่วนสำคัญเช่นนี้ แม้จำเลยจะอ้างว่ากระทำไปโดยอารมณ์ชั่ววูบด้วยความหึงหวง ก็ต้องถือว่าจำเลยกระทำโดยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการต่อมาว่า จำเลยกระทำโดยเหตุบันดาลโทสะหรือไม่ โจทก์มีนางสาวพรเพ็ญ สินสิริ ผู้เสียหายเบิกความว่า ในวันเกิดเหตุขณะพยานนั่งอ่านหนังสืออยู่ภายในบ้านในห้องครัวโดยมีนายดาบตำรวจอุเทนยาวโนภาส นายวิทยา บุญทรง และนายคำภา ทองเติม นั่งอยู่ด้วย พยานได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด รู้สึกแน่นหน้าอกและล้มตัวซบไปที่นายคำภาและบอกนายคำภาว่าสงสัยถูกยิง ตามคำของผู้เสียหายดังกล่าวแสดงว่า ขณะถูกยิงผู้เสียหายกำลังนั่งอ่านหนังสือภายในห้องครัวโดยมีนายดาบตำรวจอุเทน นายวิทยาและนายคำภาอยู่ด้วย แต่นายดาบตำรวจอุเทนกลับเบิกความว่า ระหว่างที่พยานอยู่กับผู้เสียหายในห้องครัวเพียง2 คน พยานไม่เห็นผู้ใดจึงหยอกล้อกับผู้เสียหายและกอดผู้เสียหายไว้ ขณะเดียวกันพยานได้ยินเสียงจำเลยอยู่ด้านนอกพูดขึ้นว่า “มึงมาทำอย่างนี้หรือ นี่ปืน” พยานจึงลุกขึ้นยืนและออกวิ่งขึ้นชั้น 2 ของตัวบ้าน ขณะนั้นได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 2 นัด ซึ่งแตกต่างจากคำเบิกความของผู้เสียหาย ในเรื่องนี้นายวิทยาเบิกความว่า ขณะเดินเข้าห้องน้ำซึ่งอยู่ในตัวบ้านได้ยินเสียงดังคล้ายประทัด 2 นัด แสดงว่าขณะจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายในห้องครัวนอกตัวบ้าน นายวิทยามิได้อยู่ในห้องครัวด้วย ส่วนนายคำภาเบิกความว่าขณะพยานนั่งผูกทุ่นเบ็ดอยู่ภายในบ้านของผู้เสียหายได้ยินเสียงคล้ายประทัดดังขึ้น1 นัด และได้ยินเสียงผู้เสียหายร้องมาจากห้องครัว ซึ่งแสดงว่าขณะจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายนายคำภาก็มิได้อยู่ในห้องครัวเช่นกัน เห็นว่า นายวิทยาและนายคำภาไม่มีส่วนได้เสียกับผู้เสียหายและจำเลยจึงเป็นพยานที่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าขณะจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายในห้องครัวนั้น ภายในห้องครัวคงมีผู้เสียหายกับนายดาบตำรวจอุเทนอยู่ด้วยกันเพียง 2 คนเท่านั้น ในส่วนที่ว่าผู้เสียหายกับนายดาบตำรวจอุเทนได้คลอเคลียจู๋จี๋แสดงความรักใคร่ต่อกันหรือไม่นั้น ผู้เสียหายเบิกความว่าตนเองนั่งอ่านหนังสือในห้องครัว ส่วนนายดาบตำรวจอุเทนเบิกความว่าได้หยอกล้อและกอดผู้เสียหายไว้ และร้อยตำรวจโทธวัชชัย จันทร์จรุง พนักงานสอบสวนเบิกความว่าจากการสอบสวนได้ความว่า จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายเพราะเห็นผู้เสียหายกำลังพลอดรักอยู่กับนายดาบตำรวจอุเทน ซึ่งจำเลยก็นำสืบถึงสาเหตุที่ตนใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายว่าเพราะเห็นนายดาบตำรวจอุเทนกับผู้เสียหายคลอเคลียจู๋จี๋รักใคร่กัน จึงเกิดอาการโกรธและหึงหวง เห็นว่า จำเลยทราบมาก่อนแล้วว่าผู้เสียหายกับนายดาบตำรวจอุเทนมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกัน ดังนั้น หากเพียงแต่จำเลยเห็นผู้เสียหายอยู่กับนายดาบตำรวจอุเทนโดยมิได้แสดงความรักใคร่ต่อกันแล้ว ก็ไม่น่าจะถึงขนาดทำให้จำเลยต้องใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายในทันทีทันใดที่พบเห็นผู้เสียหายอยู่กับนายดาบตำรวจอุเทนทั้งได้พูดขึ้นก่อนยิงว่า “มึงมาทำอย่างนี้หรือ” เช่นนี้จึงน่าเชื่อว่าเป็นเพราะนายดาบตำรวจอุเทนได้แสดงความรักใคร่ในทำนองพลอดรักกับผู้เสียหาย คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่าการที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายเนื่องจากจำเลยเห็นผู้เสียหายกับนายดาบตำรวจอุเทนคลอเคลียพลอดรักกันเช่นนี้ ถือได้ว่าจำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมหรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยกับนายดาบตำรวจอุเทนเป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายอยู่กินกันมา 17 ปี มีบุตรด้วยกัน2 คน ชีวิตครอบครัวเป็นปกติสุขตลอดมา จนเมื่อปี 2540 จำเลยทราบว่านายดาบตำรวจอุเทนไปอยู่กินฉันสามีภริยากับผู้เสียหายที่บ้านเกิดเหตุสัปดาห์ละ 2 ถึง 3 วัน จำเลยเคยห้ามปรามและขอร้องผู้เสียหายมิให้มายุ่งเกี่ยวกับนายดาบตำรวจอุเทนแต่ผู้เสียหายและนายดาบตำรวจอุเทนก็ยังคงคบหากันฉันชู้สาวอยู่อีก การกระทำของผู้เสียหายดังกล่าวนอกจากจะเป็นการประพฤติผิดศีลธรรมแล้ว ยังเป็นการประพฤติผิดวินัยของข้าราชการ ทั้งเป็นการกระทำละเมิดต่อสิทธิของจำเลยอีกด้วยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันเกิดเหตุจำเลยนำอาวุธปืนไปให้นายดาบตำรวจอุเทนที่หลงลืมติดตัวไปเพื่อใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรักและความห่วงใย แต่เมื่อไปถึงที่งานทอดกฐินไม่พบนายดาบตำรวจอุเทน และทราบจากนายหนูกรณ์ ภาโว ว่านายดาบตำรวจอุเทนไปอยู่ที่บ้านพักข้าราชการอำเภอจึงตามไปจนพบและเห็นนายดาบตำรวจอุเทนกับผู้เสียหายอยู่ด้วยกันในห้องครัวตามลำพังเพียง 2 คน ทั้งกำลังคลอเคลียพลอดรักกันด้วยเช่นนี้ย่อมทำให้จำเลยได้รับความกระทบกระเทือนทางด้านจิตใจอย่างรุนแรง และถือได้ว่าจำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายไปในขณะนั้นโดยทันทีจึงเป็นการกระทำโดยเหตุบันดาลโทสะ แม้ข้อเท็จจริงจะไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายกับนายดาบตำรวจอุเทนทราบว่าจำเลยอยู่ในบริเวณที่เกิดเหตุขณะที่บุคคลทั้งสองพลอดรักกันก็ตาม แต่เมื่อการกระทำดังกล่าวมีผลเป็นการข่มเหงจำเลยแล้ว ก็มีเหตุที่จำเลยจะบันดาลโทสะได้ หาจำต้องเป็นกรณีที่ผู้เสียหายกระทำโดยเจตนามุ่งที่จะข่มเหงจำเลยโดยตรงแต่ประการใดไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น

สำหรับความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ นั้น ข้อเท็จจริงได้ความว่าอาวุธปืนของกลางเป็นปืนมีทะเบียนของกองบังคับการกองอาสารักษาดินแดนจังหวัดอุบลราชธานีซึ่งนายดาบตำรวจอุเทนสามีจำเลยเบิกมาไว้ใช้ในราชการ ในวันเกิดเหตุนายดาบตำรวจอุเทนไปปฏิบัติหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยในงานทอดกฐินที่อำเภอน้ำยืน โดยลืมนำอาวุธปืนของกลางติดตัวไปด้วย จำเลยจึงได้นำอาวุธปืนดังกล่าวติดตัวไปเพื่อจะนำไปมอบให้นายดาบตำรวจอุเทน แต่ยังมิได้ทันได้มอบให้ก็เกิดเหตุการณ์ร้ายขึ้นเสียก่อน เห็นว่า การที่จำเลยนำอาวุธปืนของกลางที่นายดาบตำรวจอุเทนใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ราชการติดตัวไปโดยมุ่งประสงค์จะนำไปมอบให้นายดาบตำรวจอุเทนใช้ในการดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยในงานกฐิน เช่นนี้กรณียังถือไม่ได้ว่าจำเลยมีอาวุธปืนของกลางไว้ในครอบครองเพราะจำเลยมิได้เจตนาจะยึดถือไว้อย่างเป็นเจ้าของ ทั้งการที่จำเลยนำอาวุธปืนติดตัวไปเพื่อมอบให้นายดาบตำรวจอุเทนซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจไว้ใช้ในการปฏิบัติหน้าที่เช่นนี้ ถือได้ว่ามีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ที่จะพาอาวุธปืนของกลางไปได้แม้จำเลยจะนำอาวุธปืนติดตัวไปที่บ้านที่เกิดเหตุก็เป็นการกระทำต่อเนื่องกัน จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานมีอาวุธปืนและพาอาวุธปืนตามที่โจทก์ฟ้อง แม้ความผิดข้อหาดังกล่าวจะยุติไปแล้วตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ก็ตามแต่เนื่องจากเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวพันกับความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย ศาลฎีกาจึงมีอำนาจที่จะหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 185 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 215 และมาตรา 225″

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80, 72 ลงโทษจำคุก 4 ปี คำให้การและทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีของศาล มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 ปี จำเลยกระทำความผิดเป็นครั้งแรกและจำเลยมีภาระต้องเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ซึ่งเป็นหญิงถึง 2 คน เมื่อคำนึงถึงอายุประวัติ ตลอดจนการศึกษาอบรม ประกอบพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว กรณีมีเหตุสมควรที่จะให้โอกาสจำเลยกลับตัว โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยกฟ้อง

Share