คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 585/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้สัญญาจ้างระหว่างโจทก์และจำเลยจะเป็นสัญญาจ้างที่มีกำหนดวันเริ่มต้นและวันสิ้นสุดของการจ้าง ผลของสัญญาทำให้ลูกจ้างต้องออกจากงานเมื่อสัญญาจ้างสิ้นสุดลงก็ตาม ก็อยู่ในความหมายของการเลิกจ้างตามนัยข้อ 46 วรรคสอง แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ซึ่งเป็นกฎหมายพิเศษ มีวัตถุประสงค์ให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยแก่ลูกจ้างเมื่อเลิกจ้าง เว้นแต่จะเข้าข้อยกเว้นที่เลิกจ้างโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามข้อ 46 วรรคสาม จึงต้องตีความเพื่อให้เป็นผลใช้บังคับได้ มิฉะนั้นความในข้อ 46 วรรคสามจะไร้ผล การที่จำเลยแสดงเจตนาต่อโจทก์ว่าไม่ต่อสัญญาจ้างให้อันมีผลทำให้จำเลยต้องออกจากงาน จึงต้องถือว่าเป็นการที่จำเลยให้โจทก์ออกจากงานอันเป็นการเลิกจ้างตามความหมายในข้อ46 วรรคสอง ดังกล่าว จำเลยให้การเพียงว่า โจทก์ปฏิบัติผิดระเบียบของจำเลยตลอดมากล่าวคือ มาปฏิบัติงานไม่ตรงเวลา ละทิ้งหน้าที่โดยไม่บอกกล่าวเป็นเหตุให้การผลิตยาต้องหยุดชะงัก ซึ่งทำให้ได้ปริมาณและคุณภาพด้อยลง จำเลยได้ว่ากล่าวตักเตือนหลายครั้ง แต่โจทก์เพิกเฉยไม่ปรับปรุงตัว ทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย โดยจำเลยหาได้ให้การโดยชัดแจ้งว่า โจทก์ได้กระทำการใดเข้าลักษณะความผิดดังระบุไว้ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 47กรณีหนึ่งกรณีใดอันจะเข้าหลักเกณฑ์ในกรณีเลิกจ้างโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยแต่อย่างใดไม่ จึงไม่มีประเด็นในคดีที่จะหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยที่ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้กระทำความผิดตามข้อ 47 และไม่เข้าข้อยกเว้นที่ไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามข้อ 46 วรรคสาม จำเลยจึงต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2533 จำเลยได้จ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้าง ครั้งสุดท้ายทำหน้าที่เป็นผู้จัดการฝ่ายผลิตอัตราค่าจ้างเดือนละ 33,000 บาท ต่อมาเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2535จำเลยได้เลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่มีความผิด โจทก์ทำงานกับจำเลยมาครบ 1 ปี จึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชยตามกฎหมายไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 90 วัน คิดเป็นเงิน 99,000 บาท แต่จำเลยไม่ชำระให้ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินค่าชดเชยรวม 99,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยตามกฎหมายนับแต่วันเลิกจ้างจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์เข้าทำงานกับจำเลยเมื่อวันที่ 20ธันวาคม 2533 ในตำแหน่งผู้มีหน้าที่ปฏิบัติการ โดยได้ทำสัญญาจ้างมีกำหนดวันสิ้นสุดการจ้างคือวันที่ 31 ธันวาคม 2534 ก่อนถึงกำหนดวันสิ้นสุดสัญญา จำเลยมีหนังสือบอกกล่าวไม่ประสงค์จะต่อสัญญาจ้างให้โจทก์อีก ดังนั้นการเลิกจ้างจำเลยจึงเป็นการเลิกจ้างตามกำหนดระยะเวลาการจ้างไว้แน่นอน จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ระหว่างที่โจทก์ทำงานกับจำเลย โจทก์ปฏิบัติผิดระเบียบของจำเลยตลอดมา โดยมาปฏิบัติงานไม่ตรงตามกำหนดเวลา และละทิ้งหน้าที่โดยไม่บอกกล่าว ทำให้การผลิตยาต้องหยุดชะงัก ได้ปริมาณและคุณภาพด้อยลง จำเลยได้ว่ากล่าวตักเตือนหลายครั้งแต่โจทก์เพิกเฉยไม่ปรับปรุงตัว ทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยจ้างโจทก์ในตำแหน่งผู้มีหน้าที่ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510โดยทำสัญญาจ้างไว้เป็นหนังสือตามเอกสารหมาย จ.2 ซึ่งมีกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดของการจ้างไว้คือ วันที่ 31 ธันวาคม 2534 เมื่อวันที่ 23ธันวาคม 2534 จำเลยมีหนังสือแจ้งโจทก์ว่าจะไม่ต่อสัญญาให้ เป็นการยืนยันว่าจำเลยไม่จ้างโจทก์อีก จึงเป็นกรณีสัญญาจ้างได้สิ้นสุดลงโดยผลแห่งสัญญา มิใช่การเลิกจ้าง โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลางว่า จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานเมื่อเดือนธันวาคม2533 ในตำแหน่งผู้มีหน้าที่ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 33,000 บาท โดยทำสัญญาจ้างเป็นหนังสือกำหนดวันสิ้นสุดของสัญญาจ้างไว้คือวันที่ 31 ธันวาคม 2534ครั้นวันที่ 23 ธันวาคม 2534 จำเลยมีหนังสือแจ้งแก่โจทก์ว่าไม่ประสงค์จะต่อสัญญาจ้างให้ ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า การที่จำเลยมีหนังสือแจ้งแก่โจทก์ว่า ไม่ประสงค์จะต่อสัญญาจ้างให้ เป็นการเลิกจ้างตามความหมายในข้อ 46 แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ซึ่งจำเลยจะต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์นั้นเห็นว่า ตามข้อ 46 วรรคสอง ให้บทนิยามของการเลิกจ้างไว้ว่า”การเลิกจ้างตามข้อนี้ หมายความว่าการที่นายจ้างให้ลูกจ้างออกจากงานปลดออกจากงาน หรือไล่ออกจากงาน โดยที่ลูกจ้างไม่ได้กระทำความผิดตามข้อ 47 ฯลฯ…” และข้อ 46 วรรคสาม มีข้อความว่า”ความในข้อนี้มิให้ใช้บังคับแก่การจ้างลูกจ้างเพื่อทำงานอันมีลักษณะเป็นครั้งคราว เป็นการจร เป็นไปตามฤดูกาล หรือเป็นงานตามโครงการ ซึ่งนายจ้างและลูกจ้างได้ตกลงทำสัญญาจ้างเป็นหนังสือโดยมีกำหนดวันเริ่มต้นและวันสิ้นสุดของการจ้างไว้…” การที่จำเลยมีหนังสือแจ้งแก่โจทก์ว่าไม่ประสงค์จะต่อสัญญาจ้างให้ กรณีนี้แม้สัญญาจ้างจะได้สิ้นสุดลงโดยผลแห่งสัญญาก็ตาม หากพิจารณาตามข้อ46 วรรคสาม แล้ว จะเห็นได้ว่า แม้สัญญาจ้างที่มีกำหนดวันเริ่มต้นและวันสิ้นสุดของการจ้าง ผลของสัญญาทำให้ลูกจ้างต้องออกจากงานเมื่อสัญญาจ้างสิ้นสุดลงก็ตาม ก็อยู่ในความหมายของการเลิกจ้างตามนัยข้อ 46 วรรคสอง ทั้งนี้โดยที่ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน เป็นกฎหมายพิเศษ มีวัตถุประสงค์ให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยแก่ลูกจ้างเมื่อเลิกจ้าง เว้นแต่จะเข้าข้อยกเว้นที่เลิกจ้างโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามข้อ 46 วรรคสาม จึงต้องตีความเพื่อให้เป็นผลใช้บังคับได้ มิฉะนั้นความในข้อ 46 วรรคสามจะไร้ผลดังนั้น การที่จำเลยแสดงเจตนาต่อโจทก์ว่าไม่ต่อสัญญาจ้างให้อันมีผลทำให้จำเลยต้องออกจากงาน จึงต้องถือว่าเป็นการที่จำเลยให้โจทก์ออกจากงานอันเป็นการเลิกจ้างตามความหมายในข้อ 46 วรรคสองดังกล่าวข้างต้น และไม่ปรากฏว่าลักษณะงานที่โจทก์ทำเข้าข้อยกเว้นตามข้อ 46 วรรคสาม ที่อาจเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยจึงมีปัญหาต่อไปว่าการที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นเพราะเหตุที่โจทก์ได้กระทำความผิดตามข้อ 47 แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงานหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องอ้างว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่มีความผิดจำเลยให้การเพียงว่า โจทก์ปฏิบัติผิดระเบียบของจำเลยตลอดมา กล่าวคือ มาปฏิบัติงานไม่ตรงเวลาละทิ้งหน้าที่โดยไม่บอกกล่าวเป็นเหตุให้การผลิตยาต้องหยุดชะงักซึ่งทำให้ได้ปริมาณและคุณภาพด้อยลง จำเลยได้กล่าวตักเตือนหลายครั้งแต่โจทก์เพิกเฉยไม่ปรับปรุงตัวทำให้จำเลยได้รับความเสียหายโดยจำเลยหาได้ให้การโดยชัดแจ้งว่า โจทก์ได้กระทำการใดเข้าลักษณะความผิดดังระบุไว้ตามข้อ 47 กรณีหนึ่งกรณีใดอันจะเข้าหลักเกณฑ์ในกรณีเลิกจ้างโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยแต่อย่างใดไม่ จึงไม่มีประเด็นในคดีที่จะหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยที่ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้กระทำความผิดตามข้อ 47 และไม่เข้าข้อยกเว้นที่ไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามข้อ 46 วรรคสาม จำเลยจึงต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์เท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเก้าสิบวันเป็นเงิน99,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 1มกราคม 2535 ซึ่งเป็นวันเลิกจ้างเป็นต้นไป ไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ในประเด็นข้ออื่น เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง
พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินค่าชดเชยแก่โจทก์จำนวน99,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของตนเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 1 มกราคม 2535 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

Share