คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5831/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยที่ 3 มีเรื่องชกต่อยกับ ส. ก่อน แล้วจำเลยที่ 3 พาพวกคือจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 มาดักรอผู้เสียหายกับผู้ตาย แล้วร่วมกันยิงและทำร้ายทันที โดยจำเลยที่ 1 และที่ 2 ยิงผู้ตาย และจำเลยที่ 1 ยิง ส.กับจำเลยที่4ใช้ไม้ตีห. แม้จำเลยที่ 3จะมิได้มีอาวุธติดตัวมาและลงมือกระทำผิดด้วยก็ตาม แต่การกระทำของจำเลยที่ 3 ดังกล่าวเป็นการรวมกำลังให้แก่พวกจำเลยอื่น พร้อมที่จะช่วยเหลือกันได้ เมื่อเกิดเหตุแล้วก็หนีไปด้วยกัน ย่อมถือได้ว่าจำเลยทั้งสี่เป็นตัวการร่วมกันกระทำความผิด ในการพิจารณาคดีอาญา โจทก์มีหน้าที่ต้องนำสืบให้ฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิด เมื่อโจทก์มิได้นำสืบข้อเท็จจริงให้เห็นว่าอาวุธปืนที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ใช้ยิงผู้ตายกับผู้เสียหายไม่มีหมายเลขทะเบียน ทั้งโจทก์ไม่ได้อาวุธปืนมาเป็นของกลาง และไม่มีพยานหลักฐานอื่นที่พิสูจน์ให้เห็นว่าอาวุธปืนนั้นไม่มีหมายเลขทะเบียน จึงลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ฐานมีอาวุธปืนไม่มีหมายเลขทะเบียนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้นไม่ได้ แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ได้รับใบอนุญาตให้พาอาวุธปืนเป็นผู้ที่ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายกับผู้เสียหายแล้วพาอาวุธปืนนั้นไปจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงต้องมีความผิดฐานพาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านโดยไม่ได้รับอนุญาต.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 297,371, 91, 83, 80 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา(ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินฉบับที่ 44 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519 ข้อ 3, 6, 7
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ
ระหว่างการพิจารณา นางประสาร คงอ้วน มารดาของนายสมเคียรพุ่มสาลี ผู้ตาย นายสมควร พุ่มสาลี และนายโหลบ พุ่มสาลี ผู้เสียหายได้ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 จำคุก 12 ปี จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ขณะเกิดเหตุมีอายุ 18 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 จำคุก 12 ปีและจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ,72, 72ทวิ คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 44 ลงวันที่21 ตุลาคม 2519 ข้อ 3, 6, 7 เฉพาะจำเลยที่ 2 ลดมาตราส่วนโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 แล้ว โดยข้อหามีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 2 ปีจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 ปี 4 เดือน ข้อหาพาอาวุธปืนให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นบทหนักจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 1 ปี จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 8 เดือน รวมทุกกระทงความผิดแล้วคงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 15 ปี จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 14 ปีจำเลยที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 จำคุก 3 ปีคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3
โจทก์ จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดฐานฆ่าผู้อื่น พยายามฆ่าผู้อื่น และทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนได้รับอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 288, 80, 397, 83 ลงโทษจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ฐานฆ่าผู้อื่นจำคุกคนละ 15 ปี ฐานพยายามฆ่าผู้อื่น จำคุกคนละ 10 ปี ฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนได้รับอันตรายสาหัส จำคุกคนละ 3 ปี ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 2 อายุ 18 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 ฐานฆ่าผู้อื่นจำคุก 7 ปี 6 เดือน ฐานพยายามฆ่าผู้อื่น จำคุก 5 ปี ฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนได้รับอันตรายสาหัส จำคุก 1 ปี 6 เดือน และจำเลยที่ 1 ที่ 2 มีความผิดฐานพาอาวุธไปในหมู่บ้านหรือทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุสมควร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 อีกกระทงหนึ่งลดมาตราส่วนโทษให้จำเลยที่ 2 กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 76 จำเลยที่ 1 ให้ปรับ 100 บาท จำเลยที่ 2 คงปรับ 50 บาทเรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 แล้วรวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 28 ปี ปรับ 100 บาท จำคุกจำเลยที่ 2มีกำหนด 13 ปี 12 เดือน ปรับ 50 บาทจำเลยที่ 3 และที่ 4 จำคุกคนละ28 ปี ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29,30 ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์ จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาจำเลยที่ 4 ในข้อหาทำร้ายผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…การที่จำเลยที่ 3 มีเรื่องชกต่อยกับนายสมควรก่อนแล้วจำเลยที่ 3 พาพวกคือจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4มาดักรอผู้เสียหายกับผู้ตายแล้วร่วมกันยิงและทำร้ายทันที โดยจำเลยที่ 1 และที่ 2 ยิงผู้ตาย และจำเลยที่ 1 ยิงนายสมควร กับจำเลยที่ 4ใช้ไม้ตีนายโหลบ แม้จำเลยที่ 3 จะมิได้มีอาวุธติดตัวมาและลงมือกระทำผิดด้วยก็ตาม แต่การกระทำของจำเลยที่ 3 ดังกล่าวเท่ากับเป็นการรวมกำลังให้แก่พวกจำเลยอื่น พร้อมที่จะช่วยเหลือกันได้เมื่อเกิดเหตุแล้วก็หนีไปด้วยกันเช่นนี้ย่อมถือได้ว่าจำเลยทั้งสี่เป็นตัวการร่วมกันกระทำความผิดโดยมีเจตนาประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลที่อาจเกิดขึ้นร่วมกัน มิใช่เป็นเรื่องต่างคนต่างกระทำโดยไม่ได้สมคบกันมาก่อน ดังที่จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ฎีกา ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสี่มีความผิดฐานฆ่าผู้ตาย พยายามฆ่านายสมควรและทำร้ายร่างกายนายโหลบได้รับอันตรายสาหัสนั้นชอบแล้วฎีกาจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ฟังไม่ขึ้น
สำหรับโจทก์ที่ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดฐานมีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตและพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้านโดยไม่มีเหตุสมควรตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ นั้น เห็นว่า ในการพิจารณาคดีอาญา โจทก์มีหน้าที่ต้องนำสืบให้ฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิด คดีนี้โจทก์มิได้นำสืบข้อเท็จจริงให้เห็นว่า อาวุธปืนที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ใช้ยิงผู้ตายกับผู้เสียหายไม่มีหมายเลขทะเบียน ทั้งโจทก์ไม่ได้อาวุธปืนมาเป็นของกลาง และไม่มีพยานหลักฐานอื่นที่พิสูจน์ให้เห็นว่าอาวุธปืนนั้นไม่มีหมายเลขทะเบียนจึงลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ฐานมีอาวุธปืนไม่มีหมายเลขทะเบียนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้นไม่ได้แต่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ได้รับใบอนุญาตให้พาอาวุธปืน เป็นผู้ที่ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายกับผู้เสียหายแล้วพาอาวุธปืนนั้นไป จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงต้องมีความผิดฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้านโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในข้อหาพาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้าน โดยไม่ได้รับใบอนุญาตตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ นั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดฐานพาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้าน โดยไม่ได้รับใบอนุญาต ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 8 ทวิ, 72 ทวิ วรรคสอง ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดอีกกระทงหนึ่ง จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 1 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้จำเลยที่ 2 กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 76 แล้ว จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 6 เดือน เมื่อรวมโทษฐานฆ่าผู้อื่น พยายามฆ่าผู้อื่น และทำร้ายร่างกายผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสแล้วรวมเป็นโทษจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 คนละ 29 ปีและ 13 ปี 18 เดือน ตามลำดับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share