แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายในระยะห่างเพียง 3 เมตร ถูกที่บริเวณเอวของผู้เสียหายอันเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกาย ซึ่งหากรักษาไม่ทันท่วงทีอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ถือได้ว่าจำเลยกระทำไปโดยเจตนาฆ่าผู้เสียหายแล้วหากเป็นเพียงการยิงขู่ จำเลยก็มีโอกาสที่จะยิงไปยังทิศทางอื่นที่มิใช่ทิศทางที่ผู้เสียหายยืนอยู่ เช่น ยิงขึ้นฟ้า เป็นต้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 80, 33, 91, 371 และสั่งริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพในความผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองกับพาอาวุธปืนไปตามทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต ปฏิเสธฐานพยายามฆ่าผู้อื่น
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 80 มาตรา 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิลงโทษฐานพยายามฆ่า จำคุก 10 ปี ฐานมีอาวุธปืนจำคุก 1 ปีฐานพาอาวุธปืนลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนซึ่งเป็นบทหนักจำคุก 1 ปี รวมจำคุก 12 ปี คำให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนและทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 8 ปีคำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคแรก,72 วรรคสาม และ 72 ทวิ วรรคสอง ให้ลงโทษฐานมีอาวุธปืนจำคุก 6 เดือน ฐานพาอาวุธปืนลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯซึ่งเป็นบทหนัก จำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 1 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุกจำเลยที่ 6 เดือนเมื่อรวมโทษจำคุกฐานฆ่าผู้อื่นแล้ว รวมเป็นจำคุกจำเลย 6 ปีกับ 14 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายในระยะห่างเพียง 3 เมตร ถูกที่บริเวณเอวของผู้เสียหายอันเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกายซึ่งหากรักษาไม่ทันท่วงทีอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ถือได้ว่าจำเลยกระทำไปโดยเจตนาฆ่าผู้เสียหายแล้ว ข้ออ้างของจำเลยที่ว่าจำเลยยิงขู่เพราะจำเลยอาจเลือกยิงบริเวณอื่นที่สำคัญ และยิงแล้วก็มิได้ยิงซ้ำนั้นฟังไม่ขึ้นเพราะหากเป็นเพียงการยิงขู่ จำเลยก็มีโอกาสที่จะยิงไปยังทิศทางอื่นที่มิใช่ทิศทางที่ผู้เสียหายยืนอยู่ เช่น ยิงขึ้นฟ้า เป็นต้น ข้ออ้างของจำเลยในเรื่องยิงขู่จึงไม่ประกอบด้วยเหตุผลอันจะพึงรับฟัง ทั้งข้อเท็จจริงก็ไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายหรือพวกผู้เสียหายจะเข้าทำร้ายจำเลยอันจะถือได้ว่าเป็นภยันตรายที่จำเลยจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำไปโดยเจตนาฆ่าผู้เสียหายจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นนั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน