แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่ ฉ. และ จ. ผู้เสียหายมอบกุญแจบ้านและกุญแจห้องนอนให้จำเลยช่วยดูแลบ้านระหว่างที่ผู้เสียหายไม่อยู่ เท่ากับอนุญาตให้จำเลยเข้าไปในบ้านอันเป็นเคหสถานแล้ว การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ในเคหสถานตาม ป.อ. มาตรา 335 (8) ซึ่งต้องเป็นการเข้าไปโดยไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของหรือผู้ครอบครองเคหสถานนั้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334, 335 ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์รวม 95,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (8) (11) วรรคสอง ลงโทษจำคุก 4 ปี ให้จำเลยคืนเงิน 20,000 บาท แก่นายฉลวย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่า จำเลยลักเงินจำนวนนั้นของนายฉลวยตามคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองหรือไม่ โจทก์มีนางชิตและนายฉลวยเป็นพยานเบิกความว่า คืนที่นางชิตไปนอนเป็นเพื่อนจำเลยนั้นจำเลยชวนนางชิตเข้าไปในห้องนอนของนายฉลวยกับผู้เสียหาย และหยิบถุงเงินในที่นอนออกมาอวดนางชิต แม้ว่านางชิตจะพยายามทัดทาน แต่จำเลยก็ยืนยันว่าจะเอาเงินในถุงใบนั้น ต่อมาเมื่อนายฉลวยรู้ว่าเงินสูญหายและสอบถาม นางชิตจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง เห็นว่า แม้คำเบิกความของนางชิตจะเป็นคำพยานเดียวซึ่งศาลต้องรับฟังด้วยความระมัดระวังยิ่ง แต่เมื่อจำเลยอ้างตนเองเป็นพยานเบิกความรับข้อเท็จจริงว่าช่วงเวลาเกิดเหตุจำเลยชวนนางชิตเข้าไปนอนในห้องนอนของนายฉลวยกับผู้เสียหายด้วยและระหว่างปัดที่นอนจำเลยหยิบถุงเงินของนายฉลวยมาให้นางชิตดู เจือสมคำเบิกความของนางชิตเช่นนี้ คำเบิกความของพยานโจทก์ดังกล่าวจึงน่าเชื่อถือ เมื่อพิจารณาจากสถานภาพของนางชิตซึ่งทำงานเป็นลูกจ้างของนายฉลวยและรับรู้ความสัมพันธ์ฉันชู้สาวระหว่างนายฉลวยกับจำเลย จนได้รับความไว้วางใจให้มานอนเป็นเพื่อนจำเลยประกอบแล้วเชื่อว่านางชิตเบิกความไปตามความจริงที่ตนรู้เห็นมา คำเบิกความของพยานโจทก์ปากนี้จึงมีน้ำหนัก แม้นางชิตจะมิได้เบิกความยืนยันว่าจำเลยลักเงินจำนวนนั้นของนายฉลวยดังที่จำเลยกล่าวอ้างในฎีกา แต่เมื่อพิจารณาจากคำเบิกความของพยานดังกล่าวที่พยายามทัดทานไม่ให้เอาเงินในถุงใบนั้นไป จำเลยก็ยังยืนยันว่าจะเอาแล้ว กรรมย่อมเป็นเครื่องแสดงเจตนาว่าจำเลยซึ่งถือถุงเงินของนายฉลวยมาให้พยานดู เป็นผู้เอาเงินถุงนั้นไป ที่จำเลยฎีกาว่า เหตุเกิดจากนางจำรัสผู้เสียหายล่วงรู้ความสัมพันธ์ฉันชู้สาวระหว่างจำเลยกับนายฉลวย จึงหาเรื่องกลั่นแกล้งจำเลยเพราะหากทรัพย์สินสูญหายจริงก็ควรต้องรีบร้องทุกข์ให้พนักงานสอบสวนติดตามจับกุมคนร้ายทันที มิใช่ปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปเกือบ 3 เดือน เช่นนี้ เห็นว่า ในฎีกาของจำเลยเองก็ยืนยันว่า นายฉลวยไม่ประสงค์จะเอาความกับจำเลยจึงไม่ร้องทุกข์ด้วยตนเอง แสดงให้เห็นว่านายฉลวยยังมีเยื่อใยต่อจำเลย ในขณะเดียวกันก็เกรงว่านางจำรัสผู้เสียหายจะล่วงรู้ความสัมพันธ์ฉันชู้สาวของตนกับจำเลยจึงนิ่งเฉยเสียในช่วงแรก จนกระทั่งรู้ข่าวจากนายสมคิด อคีตคนงานของตนว่าจำเลยไปชักชวนนายสมคิดมาลักทรัพย์ในบ้านของตนอีกจึงต้องพาผู้เสียหายไปร้องทุกข์ดำเนินคดีแก่จำเลย ดังนั้น การร้องทุกข์ที่เนินออกไปจึงมีเหตุผลอยู่ในตัวและมิใช่ข้อพิรุธบกพร่องในส่วนพยานหลักฐานของโจทก์ ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยต้องกันมาว่าจำเลยลักเงินของนายฉลวยนั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น ส่วนฎีกาข้ออื่นของจำเลยนั้นมิได้ยกขึ้นว่ากันมาโดยชอบแล้วในศาลชั้นต้นศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย
อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงได้ความว่า นายฉลวยและนางจำรัสผู้เสียหายมอบกุญแจบ้านรวมทั้งกุญแจห้องนอนให้จำเลยช่วยดูแลบ้านระหว่างเดินทางไปกรุงเทพมหานคร เท่ากับอนุญาตให้จำเลยเข้าไปในบ้านอันเป็นเคหสถานแล้วการกระทำของจำเลยจึงไม่อาจเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ในเคหสถานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (8) ซึ่งต้องเป็นการเข้าไปโดยไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของหรือผู้ครอบครองเคหสถานนั้น ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยตามอนุมาตรานี้ด้วยจึงมิชอบ ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (11) วรรคแรก ลงโทษจำคุก 2 ปี ข้อเท็จจริงที่ได้ความจากทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 1 ปี 4 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3.