คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 583/2548

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ตามสัญญาแต่งตั้งตัวแทนได้มีข้อตกลงในเรื่องการใช้สิทธิทางศาล ซึ่งมีความหมายชัดเจนอยู่แล้วว่า บรรดาข้อพิพาทอันเกี่ยวกับสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยให้เสนอต่อศาลในประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี แต่โจทก์ก็มีสิทธิที่จะดำเนินคดีแก่จำเลยในศาลของประเทศไทยได้ ข้อตกลงดังกล่าวมิได้ขัดต่อกฎหมายใดหรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ย่อมใช้บังคับแก่โจทก์และจำเลยได้
จำเลยสั่งซื้อสินค้าประเภทเครื่องปั๊มจากโจทก์มาเพื่อประกอบเข้ากับมอเตอร์และอุปกรณ์อื่นผลิตเป็นปั๊มเซตแล้วนำออกจำหน่ายให้แก่ลูกค้าอันเป็นการประกอบธุรกิจของจำเลย การที่โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ค่าสินค้าดังกล่าวจึงเป็นกรณีที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ประกอบการค้าหรืออุตสาหกรรมใช้สิทธิเรียกร้องเอาค่าสินค้าจากจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ที่สั่งซื้อมาเพื่อนำมาใช้ในกิจการของลูกหนี้นั่นเองสิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงมีอายุความ 5 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/33 (5) ประกอบมาตรา 193/34 (1)
หนี้ของจำเลยในคดีนี้เป็นหนี้เงินต่างประเทศสกุลมาร์กเยอรมัน อันเป็นเงินตราของประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ซึ่งอยู่ในทวีปยุโรปที่มีการจัดตั้งสหภาพยุโรปขึ้น อาจมีการเปลี่ยนแปลงสกุลเงินที่ใช้ในประเทศดังกล่าว สมควรกำหนดวิธีการคิดคำนวณมูลค่าเงินไว้เพื่อความสะดวกในการบังคับคดีด้วย หากในเวลาใช้จริงเงินมาร์กเยอรมันเป็นเงินตราชนิดที่ยกเลิกไม่ใช้กันแล้ว ให้จำเลยชำระหนี้ด้วยเงินสกุลที่ใช้แทนเงินมาร์กเยอรมันที่มีมูลค่าเท่ากับจำนวนหนี้ต้นเงินมาร์กเยอรมัน พร้อมดอกเบี้ยดังกล่าวข้างต้น โดยคิดดอกเบี้ยถึงวันก่อนวันคำนวณเปลี่ยนจำนวนหนี้เงินมาร์กเยอรมันเป็นเงินสกุลที่ใช้แทน ทั้งนี้ โดยการคำนวณเปลี่ยนจำนวนหนี้ต้นเงินและดอกเบี้ยที่เป็นเงินมาร์กเยอรมันเป็นเงินสกุลที่ใช้แทนนั้นด้วยอัตราแลกเปลี่ยนเงิน ณ วันสุดท้ายที่มีอัตราแลกเปลี่ยนเงินมาร์กเยอรมันเป็นเงินสกุลที่ใช้แทนที่สามารถแลกเปลี่ยนได้ในขณะหรือก่อนเวลาใช้เงินจริงและคิดดอกเบี้ยของต้นเงินที่เปลี่ยนเงินสกุลที่ใช้แทนเงินมาร์กเยอรมันนั้นนับแต่วันเปลี่ยนเงินดังกล่าวจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นแก่โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 7,627,364 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 6,227,479 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง พิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 392,017.59 มาร์กเยอรมัน พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 320,014.36 มาร์กเยอรมัน นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยจะชำระเป็นเงินบาทให้คิดอัตราแลกเปลี่ยน ณ สถานที่และในเวลาใช้เงิน แต่เมื่อคิดเป็นเงินบาทแล้วต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยจนถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 7,627.364 บาท
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า “มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยในข้อแรกว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า แม้ตามคำแปลเป็นภาษาไทยของหนังสือมอบอำนาจที่โจทก์แนบมาท้ายฟ้องไม่ปรากฏว่ามีการมอบอำนาจให้ดำเนินคดีแพ่งด้วยก็ตาม แต่ต้องถือข้อความในต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจที่แท้จริงเป็นสำคัญ เมื่อพิเคราะห์ข้อความเป็นภาษาอังกฤษหนังสือมอบอำนาจทั้งฉบับแล้ว ข้อความในตอนต้นกล่าวว่า ขอมอบอำนาจให้บริษัท สเตอริง ฟลูอิด ซิสเต็ม (ไทยแลนด์) จำกัด เพื่อเป็นโจทก์และดำเนินการฟ้องร้องจำเลยในคดีความเกี่ยวกับสัญญาซื้อขายในชั้นศาล ย่อมเห็นได้ชัดว่า โจทก์ประสงค์จะมอบอำนาจให้ดำเนินคดีเกี่ยวกับการผิดสัญญาซื้อขายแก่จำเลย ย่อมหมายถึงคดีแพ่งเป็นหลักใหญ่ ข้อความภาษาอังกฤษว่า “civil on criminal, or bankruptcy…” น่าจะหมายความถึงคดีแพ่ง หรือคดีอาญา หรือคดีล้มละลายได้อย่างไม่มีข้อสงสัยแต่ประการใด คำว่า “on” ที่ปรากฏอยู่ดังกล่าวน่าจะเกิดจากความผิดพลาดในการพิมพ์ซึ่งที่ถูกจะต้องเป็นคำว่า “or” ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยว่า “หรือ” มากกว่า ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าโจทก์ได้มอบอำนาจให้ฟ้องคดีนี้โดยชอบ ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางฟังว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้นั้น ชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยในข้อต่อไปว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยต่อศาลในประเทศไทยหรือไม่ จำเลยอุทธรณ์ว่า สัญญาแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายสินค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยมีข้อตกลงว่า หากมีกรณีพิพาทกันให้ฟ้องที่ศาลของประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ข้อตกลงนี้ไม่ขัดต่อกฎหมายและความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนย่อมใช้บังคับแก่คู่สัญญาได้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยต่อศาลในประเทศไทยนั้น เห็นว่า ตามสัญญาแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายสินค้าได้มีข้อตกลงในเรื่องการใช้สิทธิทางศาลว่า ศาลในประเทศของผู้จัดหาสินค้า (หมายถึงโจทก์) มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่เกิดจากข้อพิพาททางกฎหมายใดๆ อย่างไรก็ตามถ้าผู้จัดหาสินค้าอยู่ในฐานะเป็นโจทก์ ย่อมมีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลในประเทศของตัวแทน (หมายถึงจำเลย) ซึ่งมีความหมายชัดเจนอยู่แล้วว่า บรรดาข้อพิพาทอันเกี่ยวกับสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยให้เสนอต่อศาลในประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี แต่โจทก์ก็มีสิทธิที่จะดำเนินคดีแก่จำเลยในศาลของประเทศไทยได้ ข้อตกลงดังกล่าวนี้มิได้ขัดต่อกฎหมายใดหรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ย่อมใช้บังคับแก่โจทก์และจำเลยได้ อุทธรณ์ของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยในข้อสุดท้ายว่า สิทธิเรียกร้องตามคำฟ้องของโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ จำเลยอุทธรณ์ว่า สัญญาตั้งตัวแทนจำหน่ายสินค้ามิได้ปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 111 จึงต้องห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐานตามมาตรา 118 จึงต้องฟังข้อเท็จจริงตามข้อต่อสู้ของจำเลยว่าเป็นเรื่องการซื้อขายระหว่างประเทศระหว่างผู้ประกอบการค้าหรืออุตสาหกรรมเรียกเอาของที่ได้ส่งมอบ ซึ่งจะมีอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34 (1) โจทก์ฟ้องคดีนี้เกินกว่า 2 ปี นับแต่วันที่สินค้าแต่ละรายการถึงกำหนดชำระ สิทธิเรียกร้องตามฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความนั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยสั่งซื้อสินค้าประเภทเครื่องปั๊มจากโจทก์ แล้วนำมาประกอบกับมอเตอร์และอุปกรณ์ที่จำเลยสั่งซื้อจากผู้อื่นผลิตเป็นปั๊มเซตจำหน่ายแก่ลูกค้านั้น เป็นข้อเท็จจริงที่ฟังได้จากการนำสืบของโจทก์และจำเลยที่ตรงกันและไม่โต้แย้งกัน ไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่รับฟังมาจากข้อกำหนดของสัญญาตัวแทนจำหน่ายสินค้า ดังนั้น ปัญหาว่าสัญญาตัวแทนจำหน่ายสินค้าจะต้องห้ามมิให้ศาลรับฟังเป็นพยานหลักฐานดังที่จำเลยอ้างหรือไม่จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย เพราะไม่ทำให้ข้อเท็จจริงแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไป เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยสั่งซื้อสินค้าตามฟ้องจากโจทก์มาเพื่อประกอบเข้ากับมอเตอร์และอุปกรณ์อื่นผลิตเป็นปั๊มเซตแล้วนำออกจำหน่ายให้แก่ลูกค้าอันเป็นการประกอบธุรกิจของจำเลย การที่โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ค่าสินค้าดังกล่าว จึงเป็นกรณีที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ประกอบการค้าหรืออุตสาหกรรมใช้สิทธิเรียกร้องเอาค่าสินค้าจากจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ที่สั่งซื้อมาเพื่อนำมาใช้ในกิจการของลูกหนี้นั่นเอง สิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงมีอายุความ 5 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/33 (5) ประกอบมาตรา 193/34 (1) โจทก์ฟ้องคดีนี้ยังไม่พ้นกำหนด 5 ปี นับแต่วันที่โจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้ ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง เนื่องจากหนี้ของจำเลยในคดีนี้เป็นหนี้เงินต่างประเทศสกุลมาร์กเยอรมันอันเป็นเงินตราของประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ซึ่งอยู่ในทวีปยุโรปที่มีการจัดตั้งสหภาพยุโรปขึ้น อาจมีการเปลี่ยนแปลงสกุลเงินที่ใช้ในประเทศดังกล่าว จึงเห็นสมควรแก้ไขคำพิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางโดยกำหนดวิธีการคิดคำนวณมูลค่าเงินไว้เพื่อความสะดวกในการบังคับคดีด้วย”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 392,017.59 มาร์กเยอรมัน พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 320,014.36 มาร์กเยอรมัน นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 30 พฤศจิกายน 2543) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ โดยหากจำเลยจะชำระหนี้เงินมาร์กเยอรมันดังกล่าวด้วยเงินบาทให้ชำระด้วยเงินบาทที่คิดคำนวณโดยใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินมาร์กเยอรมัน ณ สถานที่และเวลาใช้เงินจริง แต่ทั้งนี้ต้นเงินและดอกเบี้ยจนถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 7,627,364 บาท ตามคำฟ้อง แต่หากในเวลาใช้เงินจริงเงินมาร์กเยอรมันเป็นเงินตราชนิดที่ยกเลิกไม่ใช้กันแล้ว ให้จำเลยชำระหนี้ด้วยเงินสกุลที่ใช้แทนเงินมาร์กเยอรมันที่มีมูลค่าเท่ากับจำนวนหนี้ต้นเงินมาร์กเยอรมันพร้อมดอกเบี้ยดังกล่าวข้างต้น โดยคิดดอกเบี้ยถึงวันก่อนวันคำนวณเปลี่ยนจำนวนหนี้เงินมาร์กเยอรมันเป็นเงินสกุลที่ใช้แทน ทั้งนี้โดยการคำนวณเปลี่ยนจำนวนหนี้ต้นเงินและดอกเบี้ยที่เป็นเงินมาร์กเยอรมันเป็นเงินสกุลที่ใช้แทนนั้นด้วยอัตราแลกเปลี่ยนเงิน ณ วันสุดท้ายที่มีอัตราแลกเปลี่ยนเงินมาร์กเยอรมันเป็นเงินสกุลที่ใช้แทนที่สามารถแลกเปลี่ยนได้ในขณะหรือก่อนเวลาใช้เงินจริงและคิดดอกเบี้ยของต้นเงินที่เปลี่ยนเป็นเงินสกุลที่ใช้แทนเงินมาร์กเยอรมันนั้นนับแต่วันเปลี่ยนเงินดังกล่าวจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นแก่โจทก์ และในกรณีนี้ หากจำเลยจะชำระด้วยเงินไทยก็ให้ใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินสกุลที่ใช้แทนนั้นเป็นเงินบาท ณ สถานที่และเวลาใช้เงินจริง แต่จำนวนเงินบาทดังกล่าวทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องแล้วต้องไม่เกินจำนวน 7,627,364 บาท ตามคำฟ้อง

Share