คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 583/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง ดังนั้น ข้อหาฐานพยายามฆ่าผู้อื่นจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,80,83 เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยใช้กำลังทำร้ายผู้เสียหายไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 ซึ่งโจทก์หาได้บรรยายฟ้องถึงการกระทำดังกล่าวแต่อย่างใดไม่ จึงลงโทษจำเลยในฐานความผิดดังกล่าวมิได้ ด้วยมิใช่เรื่องที่โจทก์ประสงค์จะให้ลงโทษตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสี่.(ที่มา-ส่งเสริม)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยร่วมกับพวกใช้เหล็กขูดชาฟท์แทงทำร้ายร่างกายผู้เสียหายหลายทีโดยมีเจตนาฆ่า ขอให้ลงโทษฐานพยายามฆ่าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80, 83
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา295, 83 ลงโทษจำคุก 1 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยร่วมกับพวกใช้เหล็กขูดชาฟท์แทงผู้เสียหาย ขอให้ลงโทษฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80, 83 ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยเพียงเข้าร่วมชกต่อยผู้เสียหาย ไม่มีเจตนาร่วมฆ่าผู้เสียหายพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานร่วมกันทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 83 จำคุก1 ปี จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า พยานโจทก์รับฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ ดังนั้นข้อหาฐานพยายามฆ่าผู้อื่นจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามมาตรา 220 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เป็นอันว่าข้อหาดังกล่าวยุติปัญหาจะต้องวินิจฉัยชั้นนี้มีเพียงว่าจำเลยมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายตามฎีกาของโจทก์หรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายเป็นพยานเบิกความว่า ขณะเกิดเหตุนายเมฆจับคอเสื้อผู้เสียหายแล้วต่อยผู้เสียหาย นายจเรชักเหล็กขูดชาฟท์แทงผู้เสียหาย หลังจากนั้นจำเลยจึงขับรถยนต์มาจอดและตรงเข้ามาชกต่อยผู้เสียหายด้วย เมื่อมีคนมาห้าม จำเลบกับพวกก็วิ่งหนีไป ข้อเท็จจริงดังกล่าวไม่ปรากฏว่าจำเลยร่วมคบคิดกับนายเมฆและนายจเรใช้เหล็กขูดชาฟท์แทงทำร้ายร่างกายผู้เสียหายมาตั้งแต่ต้น จำเลยได้กระทำแต่ลำพังตนเอง โดยใช้กำลังทำร้ายผู้เสียหายไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 เพราะไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายมีบาดแผลจากการชกต่อยแต่อย่างใด ซึ่งโจทก์หาได้บรรยายฟ้องถึงการกระทำดังกล่าวของจำเลยแต่อย่างใดไม่ จึงลงโทษจำเลยฐานใช้กำลังทำร้ายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายมิได้ ด้วยมิใช่เรื่องที่โจทก์ประสงค์จะให้ลงโทษ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสี่ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นด้วยในผลฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น’
พิพากษายืน.

Share