คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5757/2548

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของโจทก์ฎีกาคัดค้านคำสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ อ้างเหตุว่าไม่จงใจเพิกเฉยไม่ดำเนินการตามคำสั่งศาลชั้นต้นอันจะเป็นการทิ้งฟ้อง ซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริง แม้จะเป็นปัญหาในชั้นดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้นไม่ใช่ปัญหาในประเด็นที่พิพากษาตามคำฟ้อง คำให้การ ฟ้องแย้งและคำให้การแก้ฟ้องแย้ง เมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ไม่เกิน 200,000 บาท จึงต้องห้ามตามฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ตามสัญญาตัวแทนนายหน้าจำนวนเงิน 69,956.72 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 21 ต่อปี จากต้นเงินจำนวน 54,596.43 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยให้การและฟ้องแย้งขอให้โจทก์ชำระเงินจำนวน 148,948 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 12.5 ต่อปี ของต้นเงิน 123,735 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้ง ระหว่างพิจารณา เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของโจทก์ยื่นคำร้องขอเข้าว่าคดีแทนโจทก์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า โจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินการภายในระยะเวลาที่กำหนดเพื่อการดังกล่าวโดยทราบคำสั่งโดยชอบแล้ว ถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174 (2) ให้จำหน่ายคดีโจทก์เสียจากสารบบความ สำหรับฟ้องแย้งของจำเลยจึงตกไปด้วย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ตามสัญญาตัวแทนและนายหน้าจำนวนเงิน 69,956.72 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 21 ต่อปี จากต้นเงินจำนวน 54,596.43 บาท ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีโจทก์ออกเสียจากสารบบความ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของโจทก์อุทธรณ์โดยขอให้ศาลชั้นต้นยกคดีขึ้นเพื่อดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน เจ้าพนักงานของโจทก์ไม่จงใจเพิกเฉยไม่ดำเนินการตามคำสั่งศาลชั้นต้นอันจะเป็นการทิ้งฟ้องซึ่งเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง แม้จะเป็นปัญหาในชั้นดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้นไม่ใช่ปัญหาในประเด็นที่พิพาทตามคำฟ้อง คำให้การ ฟ้องแย้งและคำให้การแก้ฟ้องแย้ง แต่เมื่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่า เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของโจทก์จงใจเพิกเฉยไม่ดำเนินการตามคำสั่งศาลชั้นต้น ก็ต้องถือทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาเป็นเงิน 69,956.72 บาท ตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ เมื่อไม่เกิน 200,000 บาท จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของโจทก์มาจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้”
พิพากษายกฎีกาของโจทก์

Share