แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
สิทธิเรียกร้องค่าบริการเช่าบำรุงรักษาอุปกรณ์อันเป็นสังหาริมทรัพย์อยู่ในบังคับตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/34 (6) มีอายุความ 2 ปี ซึ่งจะครบกำหนดอายุความในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2543 ปรากฏว่าลูกหนี้ถูกสั่งให้ระงับการดำเนินกิจการและอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของ ปรส. เจ้าหนี้จึงยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อ ปรส. เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2542 ถือได้ว่าเจ้าหนี้ได้กระทำการอื่นใดอันมีผลอย่างเดียวกับการฟ้องคดี ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/14 (5) โดยที่เป็นเพียงการกระทำอื่นใดมิใช่เป็นการฟ้องคดี สิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้จึงยังไม่ยุติถึงที่สุด เมื่อได้ความว่า ปรส. มีคำสั่งไม่พิจารณาให้เจ้าหนี้ได้รับการเฉลี่ยเงินคืนจากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ และได้ปฏิเสธคำอุทธรณ์ของเจ้าหนี้เป็นที่สุดแล้วเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2544 ซึ่งอายุความได้ครบกำหนดไปแล้ว เจ้าหนี้จึงต้องอยู่ในบังคับให้ใช้สิทธิฟ้องคดีเพื่อตั้งหลักฐานสิทธิเรียกร้องหรือเพื่อให้ชำระหนี้ภายใน 60 วัน นับแต่วันที่กระบวนพิจารณาของ ปรส. สิ้นสุดตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/17 วรรคสอง ประกอบมาตรา 193/18 การที่เจ้าหนี้มิได้ฟ้องคดีและยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในวันที่ 14 มีนาคม 2545 สิทธิเรียกร้องในมูลหนี้ดังกล่าวจึงขาดอายุความ และเมื่อสิทธิเรียกร้องดังกล่าวอันเป็นมูลหนี้ประธานขาดอายุความแล้ว สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายในกรณีสัญญาเลิกกันก่อนกำหนดตามที่ได้กำหนดไว้อันเป็นส่วนอุปกรณ์จึงขาดอายุความไปด้วยตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/26 เจ้าหนี้จึงไม่มีสิทธิได้รับชำระหนี้ตามคำขอรับชำระหนี้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาด
เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นัดตรวจคำขอรับชำระหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 104 แล้ว กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเจ้าหนี้รายที่ 23 และผู้ชำระบัญชีของลูกหนี้โต้แย้งคำขอรับชำระหนี้
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนแล้วมีความเห็นว่า ควรมีคำสั่งให้ยกคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้
ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ยกคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ตามความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
เจ้าหนี้อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “สัญญาให้บริการตามเอกสารหมาย จ.2 ซึ่งเจ้าหนี้ผู้รับจ้างตกลงทำการสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสำเร็จให้แก่ลูกหนี้ผู้ว่าจ้าง โดยลูกหนี้ตกลงเช่าใช้อุปกรณ์ของเจ้าหนี้ที่ติดตั้งให้ และตกลงรับบริการให้เจ้าหนี้ดูแลรักษาซ่อมแซมอุปกรณ์เป็นเวลา 36 เดือน ในอัตราค่าบริการเดือนละ 2,500 บาท แล้วลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระหนี้ค่าบริการ เจ้าหนี้จึงขอรับชำระหนี้ค่าบริการเช่าบำรุงรักษาอุปกรณ์ของเดือนมกราคม 2541 เป็นเงิน 2,675 บาท ซึ่งเห็นได้ว่าเป็นการเรียกร้องขอรับชำระหนี้ค่าบริการเช่าอุปกรณ์อันเป็นสังหาริมทรัพย์เท่านั้น กรณีอยู่ในบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34 (6) ที่ผู้ประกอบธุรกิจในการให้เช่าสังหาริมทรัพย์เรียกเอาค่าเช่า มีกำหนดอายุความ 2 ปี นับแต่วันที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้ ข้อเท็จจริงได้ความว่าเจ้าหนี้ได้ติดตามทวงถามและบอกเลิกสัญญาในวันที่ 31 มกราคม 2541 สัญญาจึงเลิกกันไปตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2541 อันเป็นวันที่เจ้าหนี้อาจบังคับตามสิทธิเรียกร้องได้ ซึ่งจะครบกำหนดอายุความในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2543 ต่อมาลูกหนี้ถูกสั่งให้ระงับการดำเนินกิจการและอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลขององค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) เจ้าหนี้จึงยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงินในมูลหนี้ค่าบริการเช่าบำรุงรักษาอุปกรณ์ค้างชำระเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2542 กรณีถือได้ว่าเจ้าหนี้ได้กระทำการอื่นใดอันมีผลเป็นอย่างเดียวกันกับการฟ้องคดีทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14 (5) และโดยที่เป็นเพียงการกระทำอื่นใดมิใช่การฟ้องคดี สิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้นั้นจะมีอยู่เพียงใดหรือไม่จึงยังไม่ยุติถึงที่สุด ต้องผ่านกระบวนการพิจารณานั้นๆ ให้สิ้นสุดเสียก่อน ในกรณีที่เจ้าหนี้ได้ฟ้องคดีเพื่อตั้งหลักฐานสิทธิเรียกร้องหรือเพื่อให้ชำระหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14 (2) หากคดีนั้นได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้องหรือคดีเสร็จไปโดยการจำหน่ายคดีเพราะเหตุถอนฟ้องหรือทิ้งฟ้อง กฎหมายให้ถือว่าอายุความไม่เคยสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/17 วรรคหนึ่ง สำหรับการยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงินของเจ้าหนี้นั้น ได้ความว่าองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงินมีคำสั่งไม่พิจารณาให้เจ้าหนี้ได้รับการเฉลี่ยเงินคืนจากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ และได้ปฏิเสธคำอุทธรณ์ของเจ้าหนี้เป็นที่สิ้นสุดแล้วเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2544 แต่โดยที่มิใช่การฟ้องคดี จึงสมควรอนุโลมให้บังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/17 วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/18 ถือเป็นกรณีที่องค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงินปฏิเสธคำขอรับชำระหนี้โดยไม่ตัดสิทธิเจ้าหนี้ที่จะฟ้องคดีอันเป็นคุณแก่เจ้าหนี้ผู้เสียสิทธินั้นเพราะปรากฏว่าระหว่างกระบวนการพิจารณาขององค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงินอายุความได้ครบกำหนดไปแล้ว แต่เจ้าหนี้ต้องอยู่ในบังคับให้ใช้สิทธิฟ้องคดีเพื่อตั้งหลักฐานสิทธิเรียกร้องหรือเพื่อให้ชำระหนี้ภายใน 60 วัน นับแต่วันที่กระบวนการพิจารณาขององค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงินสิ้นสุด การที่เจ้าหนี้มิได้ฟ้องคดีและยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในวันที่ 14 มีนาคม 2545 จึงพ้นเวลา 60 วัน นับแต่วันที่องค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงินมีคำสั่งปฏิเสธอุทธรณ์ของเจ้าหนี้แล้ว มูลหนี้ที่เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้จึงขาดอายุความ สิทธิเรียกร้องในมูลหนี้ที่ขาดอายุความนี้เป็นค่าบริการเช่าบำรุงรักษาอุปกรณ์ที่ผิดนัดค้างชำระเป็นเหตุให้เจ้าหนี้บอกเลิกสัญญา ส่วนที่เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายในกรณีสัญญาเลิกกันก่อนกำหนดได้ตามที่กำหนดไว้ให้ลูกหนี้รับผิดชำระค่าบริการเช่าบำรุงรักษาอุปกรณ์จนถึงวันครบกำหนดตามสัญญาตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2541 ถึงวันที่ 13 พฤษภาคม 2542 เป็นเงิน 38,583.33 บาท ค่าเสียหายจำนวนนี้จึงเป็นสิทธิเรียกร้องในส่วนที่เป็นอุปกรณ์ เมื่อสิทธิเรียกร้องค่าบริการเช่าบำรุงรักษาอุปกรณ์ที่ผิดนัดค้างชำระอันเป็นมูลหนี้ประธานขาดอายุความแล้ว สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายอันเป็นส่วนอุปกรณ์จึงขาดอายุความไปด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/26 เจ้าหนี้ไม่มีสิทธิได้รับชำระหนี้ตามคำขอรับชำระหนี้ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผลกับคำสั่งของศาลล้มละลายกลาง อุทธรณ์เจ้าหนี้ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน