คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4740/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ซื้อที่ดินจากการขายทอดตลาดของศาลชั้นต้นจำเลยเข้าไปอยู่และครอบครองที่ดินพิพาทก่อนการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลชั้นต้น สิทธิของโจทก์ที่เป็นผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลโดยสุจริต ย่อมได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย จำเลยจะยกเหตุที่เป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทขึ้นต่อสู้สิทธิของโจทก์ไม่ได้โจทก์เป็นผู้มีสิทธิในที่ดินพิพาท และมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดิน น.ส.3 ก.เลขที่ 462, 463 และ 464 โดยซื้อมาจากการขายทอดตลาดของศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 15 เมษายน 2531 นายบรรจง ขอซื้อที่ดินดังกล่าวจากโจทก์และได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกันในราคา 390,000 บาทวางเงินมัดจำ 97,500 บาท ส่วนที่เหลืออีกจำนวน 292,500 บาทนายบรรจงจะชำระให้ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2533 ราวต้นเดือนมีนาคม 2532 นายบรรจงประสงค์จะเข้าทำประโยชน์ในที่ดิน แต่ไม่สามารถกระทำได้เพราะจำเลยและบริวารอาศัยอยู่ โจทก์ให้พนักงานของโจทก์ไปตรวจดูพบว่าจำเลยและบริวารบุกรุกเข้าไปอยู่อาศัยในที่ดินของโจทก์ทั้งสามแปลง ขอให้บังคับจำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินตามฟ้องของโจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์จะเป็นเจ้าของที่ดิน น.ส.3 ก. ตามฟ้องหรือไม่จำเลยไม่ทราบ จำเลยครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตลอดมาโดยจำเลยซื้อที่ดินมาจากผู้มีชื่อตั้งแต่ปี 2527 โจทก์อ้างว่าซื้อที่ดินมาตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2527 แต่เพิ่งมาฟ้องขับไล่จำเลยวันที่ 30 มิถุนายน 2532 เกินกำหนด 1 ปีแล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติว่า ที่พิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ โจทก์ซื้อได้จากการขายทอดตลาดของศาลชั้นต้น เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2527 ต่อมาเมื่อวันที่30 มิถุนายน 2531 โจทก์ตกลงขายที่พิพาทให้แก่ นายบรรจง สุขวัฒนาพรครั้นเดือนมีนาคม 2532 นายบรรจง แจ้งกับโจทก์ว่าจำเลยอยู่อาศัยในที่พิพาท โจทก์ให้พนักงานของโจทก์ไปตรวจสอบ พบจำเลยอาศัยอยู่ในที่พิพาทจึงบอกกล่าวให้จำเลยออกไปจากที่พิพาท แต่จำเลยไม่ยอมออก คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทหรือไม่ โจทก์มีหลักฐานการได้ที่พิพาทมาโดยการซื้อขายจากการขายทอดตลาดของศาลชั้นต้น จำเลยได้เข้าไปอยู่และครอบครองที่พิพาทก่อนมีการขายทอดตลาดตามคำสั่งของศาลชั้นต้น ต่อมาเมื่อมีการขายทอดตลาดและโจทก์เป็นผู้ซื้อได้จากการขายทอดตลาดดังกล่าวซึ่งสิทธิของโจทก์ที่เป็นผู้ซื้อทรัพย์ได้จากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลโดยสุจริต ย่อมเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1330 แม้จำเลยอ้างว่าได้ซื้อที่พิพาทโดยไม่มีการจดทะเบียนสิทธิในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แต่ได้เข้าครอบครองปลูกบ้านอยู่ในที่พิพาทและเสียภาษีบำรุงท้องที่สำหรับแต่ละปีก่อนการขายทอดตลาดตลอดมาก็ตามจำเลยหาอาจยกเอาเหตุเพราะเป็นผู้ครอบครองที่พิพาทขึ้นต่อสู้สิทธิของโจทก์ซึ่งเป็นผู้ซื้อที่พิพาทจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลได้ไม่ดังนั้นโจทก์จึงเป็นผู้มีสิทธิในที่พิพาทและมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยได้ ที่ศาลล่างทั้งสองเห็นว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินของโจทก์ตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 462, 463 และ 464

Share