คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5654/2543

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

คดีก่อน จำเลยในคดีนี้ฟ้องเรียกให้โจทก์ชำระเงินตามสัญญากู้ยืมและบังคับจำนอง โจทก์มิได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในคำให้การว่าโจทก์ไม่ได้ รับเงินตามสัญญาเพื่อให้เกิดประเด็นข้อพิพาท อันเป็นความบกพร่อง ไม่รอบคอบของโจทก์ ดังนี้เมื่อศาลพิพากษาว่าได้มีการกู้เงินไปตามฟ้องจริงและคดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์จะกลับมาฟ้องขอให้ห้ามมิให้คำพิพากษาในคดีเดิมมีผลใช้บังคับแก่โจทก์ โดยอ้างเหตุว่าความจริงแล้วโจทก์ ไม่ได้รับเงินตามสัญญากู้ยืมและบังคับจำนองจากจำเลย เท่ากับ เป็นการรื้อร้องฟ้องคดีที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด ทั้ง ๆ ที่เป็นคู่ความ รายเดียวกันซึ่งต้องผูกพันตามคำพิพากษาในคดีดังกล่าวนั้นให้ต้อง กลับมาวินิจฉัยซ้ำในเหตุเดียวกันอีกว่าได้มีการกู้เงินไปตามฟ้องจริงหรือไม่จึงเป็นฟ้องซ้ำ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 148

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า คดีสืบเนื่องจากจำเลยเคยยื่นฟ้องโจทก์ และศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชำระหนี้จากการผิดสัญญาจำนองรวม 3,150,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยแก่จำเลย หากไม่ชำระให้นำทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดขณะนี้อยู่ระหว่างเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินจำนองเพื่อขายทอดตลาดความจริงแล้วโจทก์กู้ยืมเงินจากจำเลยเพียง 1,500,000 บาท แต่จำเลยให้โจทก์แปลงหนี้ใหม่โดยทำเป็นสัญญาจำนองคิดดอกเบี้ยล่วงหน้าในต้นเงินดังกล่าวร้อยละ 2 ต่อเดือน ซึ่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย รวมเป็นต้นเงินจำนอง1,800,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย โดยโจทก์มิได้รับเงินจำนวนดังกล่าวแล้วนำคดีมาฟ้องโจทก์จนศาลพิพากษาให้โจทก์แพ้คดีและถูกบังคับคดีซึ่งผลของการบังคับคดีทำให้จำเลยได้มาซึ่งทรัพย์สิ่งใดเพราะการที่โจทก์กระทำเพื่อชำระหนี้หรือได้มาโดยประการอื่นโดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายและทำให้โจทก์เสียเปรียบ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกคืนฐานลาภมิควรได้ ขอให้ห้ามมิให้คำพิพากษาในคดีดังกล่าวมีผลใช้บังคับแก่โจทก์อีกต่อไปและให้จำเลยยื่นคำร้องขอถอนการบังคับยึดทรัพย์จำนองที่ดินของโจทก์ตามโฉนดเลขที่ 3441 พร้อมสิ่งปลูกสร้างของโจทก์ออกจากการบังคับคดีคืนให้โจทก์ หากจำเลยไม่ยื่นคำร้องดังกล่าว ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยภายใน 30 วัน นับแต่วันมีคำพิพากษา

ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์และจำเลยเป็นคู่ความในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1963/2541 คำพิพากษาในคดีดังกล่าวจึงผูกพันคู่ความ และเมื่อศาลมีคำพิพากษาในประเด็นที่ได้ฟ้องแล้ว โจทก์จึงต้องห้ามมิให้ดำเนินกระบวนพิจารณาในประเด็นที่ได้วินิจฉัยอีก พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีเดิมเมื่อจำเลยในคดีนี้ฟ้องเรียกให้โจทก์ชำระเงินตามสัญญากู้ยืมและบังคับจำนอง โจทก์มิได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในคำให้การเลยว่า โจทก์ไม่ได้รับเงินตามสัญญาเพื่อให้เกิดประเด็นข้อพิพาทในคดีนั้นอันเป็นความบกพร่องไม่รอบคอบของโจทก์เองที่มิได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ไว้เมื่อศาลพิพากษาว่า ได้มีการกู้เงินไปตามฟ้องจริงและคดีไม่มีการอุทธรณ์จนถึงที่สุดไปแล้วเช่นนี้ โจทก์จะกลับมาฟ้องคดีใหม่อ้างเหตุว่า ความจริงแล้วโจทก์ไม่ได้รับเงินตามสัญญากู้ยืมและบังคับจำนองจากจำเลย ขอให้ห้ามมิให้คำพิพากษาในคดีเดิมคือคำพิพากษาของศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1963/2541 มีผลใช้บังคับแก่โจทก์ เท่ากับเป็นการรื้อร้องฟ้องคดีที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด ทั้ง ๆ ที่เป็นคู่ความรายเดียวกันซึ่งต้องผูกพันตามคำพิพากษาในคดีดังกล่าวนั้นให้ต้องกลับมาวินิจฉัยซ้ำในเหตุเดียวกันอีกว่า ได้มีการกู้เงินไปตามฟ้องจริงหรือไม่ จึงเป็นฟ้องซ้ำ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148”

พิพากษายืน

Share