คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 37/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เกิดเหตุคนร้ายตีผู้ตายในเวลากลางคืน ในที่เกิดเหตุมีแสงไฟฟ้าจากที่อื่นส่องมาถึงเท่านั้น โจทก์คงมี ว. เป็นประจักษ์พยานเพียงปากเดียว เมื่อเกิดเหตุแล้ว ว. ไม่ได้บอกคนอื่นว่าใครเป็นคนทำร้ายผู้ตาย ครั้นเจ้าพนักงานตำรวจไปทำการชันสูตรพลิกศพและสอบปากคำ ว.ว. ก็ไม่ได้บอกเจ้าพนักงานตำรวจเกี่ยวกับตัวคนร้ายเช่นเดียวกัน จึงไม่น่าเชื่อว่าในที่เกิดเหตุจะมีแสงสว่างพอให้ ว. จำคนร้ายได้ จำเลยให้การปฏิเสธตลอดมา พยานหลักฐานโจทก์จึงยังไม่เพียงพอให้รับฟังลงโทษจำเลยได้ และไม่ต้องวินิจฉัยพยานหลักฐานจำเลย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 288
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ลงโทษจำคุก 20 ปี จำเลยนำสืบมีประโยชน์แก่การพิจารณาลดมาตราส่วนโทษให้จำเลยหนึ่งในสาม คงลงโทษจำคุกจำเลย 13 ปี 4 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่าตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุ ได้มีคนร้ายทำร้ายนายเฉลิม ชูแก้ว จนได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะและทำการรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลสตูล ต่อมาวันที่ 1 พฤษภาคม 2533 นายเฉลิมถึงแก่ความตายมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าจำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีนายวิชัยหรือหนึ่ง บุญรักษา เป็นพยานเบิกความว่าในวันเกิดเหตุเวลา 20 นาฬิกา พยานและนายเฉลิมผู้ตายนั่งดื่มสุราอยู่ที่ร้านนายเจ๊ะหนุ่ย ผู้ตายพูดเสียงดัง จำเลยกับพวกซึ่งนั่งดื่มสุราที่ร้านนั้นด้วยแสดงอาการไม่พอใจผู้ตาย หลังจากที่พยานขึ้นไปร่วมหลับนอนกับผู้หญิงในร้านแล้วลงมาไม่พบผู้ตาย ได้ความว่าผู้ตายกลับไปแล้ว พยานจึงเดินตามผู้ตายไปทางแพปลาก็เห็นจำเลยใช้เหล็กสีดำ ๆ คล้ายค้อนตีผู้ตายที่บริเวณศีรษะ เห็นในระยะประมาณ50 เมตร ครั้นพยานเข้าไปใกล้ในระยะ 3 เมตร จำเลยก็ยังตีผู้ตายอยู่ พยานร้องห้าม จำเลยหันหน้ามามองแล้ววิ่งหลบหนีไป ในที่เกิดเหตุมีแสงไฟฟ้าส่องสว่างไปถึง โจทก์คงมีนายวิชัยเป็นประจักษ์พยานเพียงปากเดียว ประกอบกับคดีนี้เหตุเกิดในเวลากลางคืน นายวิชัยไม่เคยรู้จักจำเลยมาก่อน ตรงที่เกิดเหตุคงมีแสงไฟฟ้าจากอาคารองค์การสะพานปลาส่องมาถึงเท่านั้น เมื่อเกิดเหตุแล้วนายวิชัยไปเรียกนายเสน่ห์ ขอจิตต์เมตต์ ให้ช่วยพาผู้ตายส่งโรงพยาบาลสตูล นายเสน่ห์ก็เบิกความว่า นายวิชัยไม่ได้บอกว่าใครเป็นคนทำร้ายผู้ตาย ครั้นนายวิชัยให้นายเสน่ห์ไปตามนายจบให้ไปพบที่โรงพยาบาล นายวิชัยก็เบิกความว่าพยานไม่ได้บอกนายจบว่าใครเป็นคนร้าย เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจไปทำการชันสูตรพลิกศพและสอบปากคำนายวิชัย นายวิชัยก็เบิกความว่า พยานไม่ได้บอกเจ้าพนักงานตำรวจเกี่ยวกับตัวคนร้าย ด้วยเหตุดังกล่าวจึงไม่น่าเชื่อว่าในที่เกิดเหตุจะมีแสงสว่างพอให้นายวิชัยจำคนร้ายได้ ชั้นจับกุม ชั้นสอบสวน ตลอดจนชั้นพิจารณาจำเลยให้การปฏิเสธตลอดมา พยานหลักฐานโจทก์ยังไม่เพียงพอให้รับฟังลงโทษจำเลยได้ ไม่ต้องวินิจฉัยพยานหลักฐานจำเลย ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share