คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1904/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เมื่อเจ้ามรดกถึงแก่กรรม ที่นาและที่ดินบ้านย่อมตกได้แก่โจทก์และทายาทอื่นรวมทั้ง ว.ด้วยการที่ว. นำที่นาและที่ดินบ้านดังกล่าวไปออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เป็นของตนแต่เพียงผู้เดียวย่อมเป็นการกระทำที่ไม่ชอบ ดังนั้นเมื่อต่อมา ว.ถึงแก่กรรม จำเลยซึ่งเป็นภริยาของ ว. ยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก ว.เพื่อแบ่งปันทรัพย์มรดกว. ที่ได้มาโดยไม่มีสิทธิดังกล่าว จึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์แล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดีนี้เพื่อเรียกคืนทรัพย์มรดกจากจำเลยผู้ไม่มีสิทธิที่จะได้รับทรัพย์มรดกได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นภรรยานายกด แสนโคตร มีบุตรด้วยกัน7 คน รวมทั้งนายวิเชียรหรือเซนต์ แสนโคตร ซึ่งเป็นสามีจำเลยเมื่อประมาณ พ.ศ. 2475 นายกดได้ที่ดินมา 3 แปลง ตั้งอยู่ที่ตำบลหนองสูงเหนือ กิ่งอำเภอคำชะอี จังหวัดนครพนม (ปัจจุบันเป็นตำบลหนองสูง กิ่งอำเภอหนองสูง จังหวัดมุกดาหาร) โจทก์และนายกดร่วมกันครอบครองทำประโยชน์ตลอดมา ครั้น พ.ศ. 2498นายกดได้แจ้งการครอบครองไว้ต่อทางราชการเป็นหลักฐาน นายกดถึงแก่กรรมเมื่อประมาณ พ.ศ. 2515 หลังจากนั้นโจทก์และบุตรทุกคนร่วมกันครอบครองที่ดินทั้ง 3 แปลง โดยยังไม่ได้แบ่งปัน ซึ่งโจทก์มีส่วนอยู่ 1 ใน 8 ต่อมานายวิเชียรถึงแก่กรรม จำเลยได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้ตั้งจำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของนายวิเชียรความจึงปรากฏแก่โจทก์ว่า นายวิเชียรได้ลักลอบนำที่ดินมรดกดังกล่าว2 แปลงไปออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ในนามของนายวิเชียรเพียงผู้เดียว คือที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 2103 และ 2314 นายวิเชียรมีส่วนในทรัพย์มรดกของนายกดเพียง 1 ใน 8 การกระทำเช่นนี้เป็นการปิดบังทรัพย์มรดกเกินกว่าส่วนที่ตนจะได้รับ ย่อมต้องถูกกำจัดมิให้รับมรดกเลย จำเลยจึงไม่มีสิทธิในส่วนแบ่งดังกล่าวเช่นกัน ขอให้พิพากษาว่า ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 2103 และ 2314 เป็นทรัพย์มรดกของนายกด ให้จำเลยส่งคืนโจทก์เพื่อแบ่งปันให้แก่ทายาทอื่นโดยโจทก์มีสิทธิได้รับ 1 ใน 8 กำจัดนายวิเชียรมิให้รับมรดกนายกด ให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินทั้ง 2 แปลง ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง
จำเลยให้การว่า นายวิเชียรไม่ได้ปิดบังทรัพย์มรดกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ของที่ดินทั้ง 2 แปลงออกมาโดยชอบ คำฟ้องเคลือบคลุมไม่ได้บรรยายว่าโจทก์จำเลยมีนิติสัมพันธ์ต่อกัน จำเลยไม่มีหน้าที่ต่อโจทก์และไม่ได้กระทำการอย่างใดที่เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่นา ส.ค.1 เลขที่ 2 หมู่ที่ 11 และส.ค.1 เลขที่ 5 ตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 2103 และ 2314 ตำบลหนองสูงอำเภอคำชะอี จังหวัดนครพนม เป็นทรัพย์มรดกของนายกด แสนโคตรขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินดังกล่าว ให้จำเลยส่งมอบที่ดินดังกล่าวคืนให้โจทก์ครอบครองแทนทายาทของนายกด ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องอีกต่อไป กำจัดมิให้นายวิเชียรหรือเซนต์ แสนโคตรสามีจำเลย รับมรดกของนายกดทั้งหมด ให้โจทก์มีสิทธิได้รับมรดกของนายกด 1 ใน 8 ส่วน และเพิกถอน น.ส.3 ก. เลขที่ 2314 และ2103 ดังกล่าวออกจากสารบบทะเบียน น.ส.3 ก.
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า จำเลยได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์หรือไม่ ได้พิจารณาคำฟ้องแล้วเห็นว่า เมื่อนายกดถึงแก่กรรมที่นาและที่ดินบ้านทรัพย์มรดกของนายกดย่อมตกได้แก่โจทก์และทายาทคนอื่น ๆ รวมทั้งนายวิเชียรด้วย การที่นายวิเชียรนำที่นาและที่ดินบ้านไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เป็นของตนแต่เพียงผู้เดียวเป็นการกระทำที่ไม่ชอบ จำเลยได้ยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของนายวิเชียรเพื่อแบ่งปันทรัพย์มรดกของนายวิเชียรซึ่งได้มาโดยไม่มีสิทธิดังกล่าวเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์แล้ว การที่โจทก์ฟ้องคดีนี้เพื่อเรียกทรัพย์มรดกคืนจากผู้ไม่มีสิทธิที่จะได้รับทรัพย์มรดกที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาว่าจำเลยไม่ได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น อนึ่งปรากฏว่าศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยังไม่วินิจฉัยชี้ขาดอุทธรณ์ข้ออื่นของโจทก์หมดทุกข้อ ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาใหม่”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษาใหม่ในอุทธรณ์ข้ออื่นของโจทก์

Share