คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 56/2524

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

เมื่อไม่ปรากฏแน่ชัดว่า โจทก์ถูกรบกวนและแย่งการครอบครองเกิน 1 ปีหรือไม่ โจทก์ฟ้องให้ปลดเปลื้องและเอาการครอบครองคืนได้

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าที่พิพาทตามใบจอง โจทก์มีสิทธิครอบครองศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่พิพาทดีกว่าจำเลย

ปัญหาวินิจฉัยต่อไปมีว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องปลดเปลื้องการรบกวนหรือเอาคืนซึ่งการครอบครองได้หรือไม่ โจทก์เบิกความว่า ปี พ.ศ. 2517ให้นางสายหยุดเช่าทำนาทั้งแปลง พอปี พ.ศ. 2520 จำเลยได้เข้ามาทำนาพิพาท นางสายหยุดพยานโจทก์เบิกความว่าเช่านาโจทก์ทำทั้งแปลงตั้งแต่ พ.ศ. 2517 จนกระทั่งปี พ.ศ. 2520 จำเลยเข้ามาทำต้นนาขวางเป็นเนื้อที่ประมาณ 10 กว่าไร่ แล้วหว่านข้าวเป็นเนื้อที่ประมาณ 2 ไร่แม้จะไม่ปรากฏว่าจำเลยเข้ามาแย่งโจทก์ทำนาในที่พิพาทวันใด เดือนใดก็ย่อมหมายถึงเข้ามาแย่งทำนาในฤดูทำนาปี พ.ศ. 2520 เมื่อพิจารณาประกอบฟ้องก็คือเมื่อเดือน 8 ซึ่งมีเดือน 8 สองเดือน นับแต่วันที่ 16มิถุนายน 2520 ถึงวันที่ 14 สิงหาคม 2520 โจทก์มาฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 28มิถุนายน 2521 จึงยังไม่แน่ชัดว่าโจทก์ถูกรบกวนและถูกแย่งการครอบครองเกิน 1 ปี โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องจำเลยเพื่อปลดเปลื้องการรบกวนและเอาคืนซึ่งการครอบครองนั้นได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1374 และ 1375 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง โจทก์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น

พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ละฎีกาแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 1,000 บาท”

Share