คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2386/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นผู้ขอใช้กระแสไฟฟ้าของโจทก์มีหน้าที่ต้องชำระค่ากระแสไฟฟ้าตามจำนวนที่ใช้ไปเต็มจำนวน เมื่อปรากฏว่ามีการต่อสายไฟฟ้าเข้ามาตรวัดกระแสไฟฟ้าของจำเลยเฟสที่ 3 ขาเข้าและขาออกสลับกัน เป็นเหตุให้มาตราวัดกระแสไฟฟ้าหมุนช้าไปกว่าปกติร้อยละ65.5 แม้จะเกิดจากการกระทำผิดพลาดของพนักงานโจทก์เอง แต่จำเลยก็ได้ใช้กระแสไฟฟ้าไปเต็มจำนวน จำเลยจึงเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากการใช้กระแสไฟฟ้าของโจทก์อยู่ ต้องรับผิดชำระค่ากระแสไฟฟ้าให้โจทก์เต็มจำนวนตามข้อตกลง เมื่อโจทก์เรียกให้จำเลยชำระค่ากระแสไฟฟ้าขาดจำนวนไป โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกให้จำเลยชำระเพิ่มเติมย้อนหลังให้ครบถ้วนได้ จำเลยเป็นผู้ยื่นคำร้องขอใช้กระแสไฟฟ้าต่อโจทก์ในการนี้จำเลยยินยอมปฏิบัติตามเงื่อนไขต่อโจทก์ โดยต้องปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการใช้กระแสไฟฟ้า ต้องชำระค่ากระแสไฟฟ้าตามจำนวนที่โจทก์เรียกเก็บ โจทก์ได้ติดตั้งมาตรวัดกระแสไฟฟ้าให้จำเลยเพื่อใช้วัดกระแสไฟฟ้าประกอบการคิดค่ากระแสไฟฟ้าแสดงว่าโจทก์คิดค่ากระแสไฟฟ้าตามหน่วยการใช้กระแสไฟฟ้าตามมาตรวัดกระแสไฟฟ้าและอัตราค่ากระแสไฟฟ้าที่จำเลยสามารถตรวจสอบดูได้มิใช่ว่าโจทก์คิดค่ากระแสไฟฟ้ามากน้อยเพียงใดก็ได้ตามความพอใจของโจทก์ ข้อสัญญาที่ว่าจำเลยจะต้องชำระค่ากระแสไฟฟ้าตามจำนวนที่โจทก์เรียกเก็บจึงมีความหมายเพียงว่า เมื่อโจทก์เรียกเก็บค่ากระแสไฟฟ้าแล้ว จำเลยต้องชำระค่ากระแสไฟฟ้านั้น มิใช่ข้อสัญญาที่กำหนดให้โจทก์เรียกเก็บค่ากระแสไฟฟ้าตามความพอใจ ไม่ใช่ข้อสัญญาที่ทำให้ประชาชนเสียหายไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนจึงใช้บังคับได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาขอให้กระแสไฟฟ้าจากโจทก์โดยตกลงว่าจะยอมปฏิบัติตามเงื่อนไขที่โจทก์กำหนด โจทก์ดำเนินการติดตั้งมาตรวัดกระแสไฟฟ้าขนาด 30 แอมป์ 3 เฟส 4 สาย ให้แก่จำเลยเพื่อใช้วัดกระแสไฟฟ้า แล้วจ่ายกระแสไฟฟ้าให้จำเลยใช้ตลอดมา เมื่อปลายปี 2524 จำเลยแจ้งให้พนักงานของโจทก์นำมาตรวัดกระแสไฟฟ้าไปตรวจสอบ แต่ผลการตรวจสอบปรากฏว่ามาตรวัดหมุนเป็นปกติพนักงานของโจทก์นำมาตรวัดกระแสไฟฟ้าไปติดตั้งให้จำเลยตามเดิมหลังจากนั้นจำนวนหน่วยกระแสไฟฟ้าเริ่มลดลงตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2524 จนกระทั่งเดือนกันยายน 2528 พนักงานของโจทก์จากสำนักงานใหญ่ตรวจพบว่า มีการต่อสายไฟฟ้าเข้ามาตรวัดกระแสไฟฟ้าของจำเลยเฟสที่ 3 ขาเข้าและขาออกสลับกัน มีผลทำให้มาตรวัดกระแสไฟฟ้าหมุนช้าไปกว่าปกติร้อยละ 65.5 ทั้งนี้เกิดจากเมื่อพนักงานของโจทก์นำมาตรวัดกระแสไฟฟ้าไปติดตั้งคืนให้จำเลยในเดือนตุลาคม 2524 ได้ต่อสายไฟฟ้าเข้าออกมาตรวัดเฟสที่ 3 ผิดไป จำเลยเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากการใช้กระแสไฟฟ้า โจทก์จึงต้องคิดค่ากระแสไฟฟ้าเพิ่มย้อนหลังตามความเป็นจริงนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2524จนถึงวันที่ตรวจพบความบกพร่อง รวมเป็นเงินจำนวน 111,363.05 บาทขอให้บังคับจำเลยชำระเงินให้แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า การติดตั้ง ซ่อม แก้ไขมาตรวัดกระแสไฟฟ้าเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องทำให้ถูกต้อง จำเลยไม่มีโอกาสทราบถึงความผิดพลาดของโจทก์ จำเลยใช้กระแสไฟฟ้าโดยสุจริตตลอดมาการชำระค่ากระแสไฟฟ้าจะต้องชำระตามจำนวนกระแสไฟฟ้าที่ได้ใช้ไปไม่ใช่ชำระตามที่โจทก์เรียกร้อง แต่ตามข้อสัญญาในฟ้องโจทก์ที่ว่าจำเลยจะต้องชำระเงินค่าตอบแทนในการใช้กระแสไฟฟ้าและค่าธรรมเนียมตามที่โจทก์เรียกร้องและภายในกำหนด เป็นข้อตกลงที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงเป็นโมฆะและตามข้อสัญญาดังกล่าวไม่มีข้อความใดระบุว่า จำเลยจะต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายในกรณีที่ความเสียหายเกิดจากความผิดพลาดของโจทก์แต่ถ้าจำเลยจะต้องรับผิดชดใช้ค่ากระแสไฟฟ้าย้อนหลังให้แก่โจทก์ก็ต้องดูว่าความเสียหายเกิดขึ้นเนื่องจากฝ่ายใดเป็นผู้ก่อมากน้อยกว่ากันในเมื่อความเสียหายเกิดขึ้นจากการกระทำของพนักงานของโจทก์ ความเสียหายที่เกิดขึ้นจึงต้องเฉลี่ยความรับผิดชอบระหว่างโจทก์กับจำเลยโดยจำเลยจะต้องรับผิดน้อยกว่าโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินพร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์คำขอนอกจากนี้ให้ยก จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัย “ข้อเท็จจริงที่ไม่โต้เถียงกันฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2522 จำเลยได้ยื่นคำร้องขอใช้กระแสไฟฟ้าจากโจทก์ โดยยอมปฏิบัติตามเงื่อนไขที่โจทก์กำหนด เป็นต้นว่าชำระเงินค่ากระแสไฟฟ้าและค่าธรรมเนียมตามจำนวนที่โจทก์เรียกเก็บและภายในเวลาที่กำหนด ตามเอกสารหมาย จ.2 โจทก์ได้ดำเนินการติดตั้งมาตรวัดกระแสไฟฟ้าขนาด 30 แอมป์ 3 เฟส 4 สาย หมายเลขพีอีเอ. 2790492 สำหรับใช้วัดกระแสไฟฟ้าประกอบการคิดเงินค่ากระแสไฟฟ้าให้แก่จำเลย เพื่อจำเลยจะได้ใช้กระแสไฟฟ้าในกิจการโรงสี หลังจากนั้นจำเลยได้ใช้กระแสไฟฟ้าของโจทก์เรื่อยมา ต่อมาเมื่อประมาณเดือนกันยายน 2524 จำเลยแจ้งต่อพนักงานของโจทก์ว่าจำเลยเสียค่ากระแสไฟฟ้าแพงมาก ขอให้ช่วยตรวจสอบมาตรวัดกระแสไฟฟ้าว่าผิดปกติหรือไม่ พนักงานของโจทก์ได้ถอดมาตรวัดกระแสไฟฟ้าไปตรวจสอบผลการตรวจสอบปรากฏว่าเป็นปกติพนักงานของโจทก์จึงนำมาตรวัดกระแสไฟฟ้าไปติดตั้งให้จำเลยตามเดิมหลังจากนั้นจำนวนหน่วยกระแสไฟฟ้าที่ปรากฏตามมาตรวัด มีจำนวนลดต่ำลงกว่าปกติมากจนกระทั่งเดือนกันยายน 2528 พนักงานของโจทก์ จากสำนักงานใหญ่ไปตรวจพบว่า มีการต่อสายไฟฟ้าเข้ามาตรวัดกระแสไฟฟ้าของจำเลยเฟสที่ 3 ขาเข้าและขาออกสลับกัน มีผลทำให้มาตรวัดกระแสไฟฟ้าของจำเลยหมุนช้าไปกว่าปกติร้อยละ 65.5 ทำให้โจทก์ไม่ได้รับค่ากระแสไฟฟ้าตามความเป็นจริง ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2524 ถึงเดือนสิงหาคม 2528 เป็นเงิน 109,771.52 บาท ทั้งนี้การต่อสายไฟฟ้าเข้ามาตรวัดกระแสไฟฟ้าของจำเลยสลับเฟสกันดังกล่าวเกิดจากการผิดพลาดของพนักงานโจทก์เอง จำเลยไม่มีส่วนผิดด้วยคดีมีปัญหาชั้นฎีกาว่า โจทก์มีสิทธิเรียกค่ากระแสไฟฟ้าเพิ่มย้อนหลังจากจำเลยหรือไม่
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า จำเลยเป็นผู้ขอใช้กระแสไฟฟ้าของโจทก์มีหน้าที่ต้องชำระค่ากระแสไฟฟ้าตามจำนวนที่ใช้ไปเต็มจำนวนตามข้อตกลงที่ได้ทำไว้กับโจทก์ตามคำร้องขอใช้กระแสไฟฟ้าเอกสารหมาย จ.2เมื่อปรากฏว่ามีการต่อสายไฟฟ้าเข้ามาตรวัดกระแสไฟฟ้าของจำเลยเฟสที่ 3 ขาเข้าและขาออกสลับกัน เป็นเหตุให้มาตรวัดกระแสไฟฟ้าของจำเลยหมุนช้าไปกว่าปกติร้อยละ 65.5 แม้การต่อสายไฟฟ้าเข้ามาตรวัดกระแสไฟฟ้าสลับกันดังกล่าวจะเกิดจากการกระทำผิดพลาดของพนักงานโจทก์เอง จำเลยมิได้มีส่วนผิดด้วยก็ตาม แต่จำเลยก็ได้ใช้กระแสไฟฟ้าของโจทก์ไปเต็มจำนวน จำเลยจึงเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากการใช้กระแสไฟฟ้าของโจทก์อยู่ ต้องรับผิดชำระค่ากระแสไฟฟ้าให้โจทก์เต็มจำนวนตามข้อตกลงในคำร้องขอใช้กระแสไฟฟ้าเมื่อโจทก์เรียกให้จำเลยชำระค่ากระแสไฟฟ้าขาดจำนวนไป โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกให้จำเลยชำระเพิ่มเติมย้อนหลังให้ครบถ้วนได้ อนึ่งปรากฏว่าในชั้นอุทธรณ์ จำเลยอุทธรณ์ว่า ข้อตกลงในการใช้กระแสไฟฟ้าที่ว่าจำเลยจะต้องชำระค่ากระแสไฟฟ้าตามจำนวนที่โจทก์เรียกเก็บภายในเวลาที่กำหนด เป็นข้อสัญญาที่กำหนดให้โจทก์เรียกเก็บค่ากระแสไฟฟ้าได้ตามความพอใจของโจทก์ ทำให้จำเลยและประชาชนผู้ใช้กระแสไฟฟ้าเสียเปรียบ จึงขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนใช้บังคับไม่ได้ แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยังไม่ได้วินิจฉัยอุทธรณ์ข้อนี้ให้ ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยโดยไม่ต้องย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิจารณาพิพากษาใหม่ในข้อนี้ เห็นว่าจำเลยเป็นผู้ยื่นคำร้องขอใช้กระแสไฟฟ้าต่อโจทก์ ในการนี้จำเลยยินยอมปฏิบัติตามเงื่อนไขต่อโจทก์ โดยต้องปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการใช้กระแสไฟฟ้า ต้องชำระค่ากระแสไฟฟ้าตามจำนวนที่โจทก์เรียกเก็บ ภายในเวลาที่กำหนด สำหรับอัตราค่ากระแสไฟฟ้าและระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการใช้กระแสไฟฟ้าจำเลยสามารถตรวจดูได้ที่สำนักงานของโจทก์ รายละเอียดปรากฏตามคำขอใช้ไฟฟ้าเอกสารหมาย จ.2โจทก์ได้ติดตั้งมาตรวัดกระแสไฟฟ้าให้จำเลยเพื่อใช้วัดกระแสไฟฟ้าประกอบการคิดค่ากระแสไฟฟ้า แสดงว่าโจทก์คิดค่ากระแสไฟฟ้าตามหน่วยการใช้กระแสไฟฟ้าตามมาตรวัดกระแสไฟฟ้าและอัตราค่ากระแสไฟฟ้าที่จำเลยสามารถตรวจสอบดูได้ดังกล่าวแล้ว มิใช่ว่าโจทก์จะคิดค่ากระแสไฟฟ้ามากน้อยเพียงใดก็ได้ตามความพอใจของโจทก์ ข้อสัญญาที่ว่าจำเลยจะต้องชำระค่ากระแสไฟฟ้าตามจำนวนที่โจทก์เรียกเก็บภายในเวลาที่กำหนดนี้จึงมีความหมายเพียงว่า เมื่อโจทก์เรียกเก็บค่ากระแสไฟฟ้าแล้ว จำเลยต้องชำระค่ากระแสไฟฟ้านั้น ภายในเวลาที่กำหนด มิใช่ข้อสัญญาที่กำหนดให้โจทก์เรียกเก็บค่ากระแสไฟฟ้าตามความพอใจ ไม่ใช่ข้อสัญญาที่ทำให้ประชาชนเสียหาย ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงใช้บังคับได้ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share