แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินค่าสินค้าที่ซื้อไปจากโจทก์ จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ จำเลยที่ 2 ให้การว่าคดีโจทก์ขาดอายุความแล้ว ดังนี้โจทก์เป็นพ่อค้าฟ้องเรียกเอาเงินค่าสินค้าจากจำเลยทั้งสอง จึงมีกำหนดอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(1)(เดิม) การที่ก่อนครบกำหนดอายุความ 2 ปี จำเลยทั้งสองทำหนังสือขอผัดผ่อนค่าสินค้าย่อมเป็นการรับสภาพหนี้ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172(เดิม) และต้องเริ่มนับอายุความขึ้นใหม่ แต่หลังจากอายุความ 2 ปี ที่เริ่มนับใหม่ได้ครบบริบูรณ์แล้ว การที่จำเลยที่ 1 ทำหนังสือว่าจะนำเงินค่าสินค้าที่ค้างชำระให้โจทก์ โดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้เขียนและลงลายมือชื่อเพียงผู้เดียว ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ละเสียแล้วซึ่งประโยชน์แห่งอายุความเป็นการเฉพาะตัวของจำเลยที่ 1 ย่อมไม่ลบล้างสิทธิของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกในอันที่จะยกอายุความขึ้นต่อสู้โจทก์ได้ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 192(เดิม) เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้เกินกว่า 2 ปีนับแต่วันที่ทำหนังสือรับสภาพหนี้ฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 จึงขาดอายุความและข้อต่อสู้เรื่องอายุความของจำเลยที่ 2 ย่อมไม่มีผลถึงจำเลยที่ 1 ซึ่งได้ละเสียซึ่งประโยชน์แห่งอายุความแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองได้ซื้อโทรทัศน์สี ยี่ห้อฟิลลิปส์จำนวน 1 เครื่อง ราคา 19,000 บาท จากโจทก์โดยได้ชำระราคาแล้ว2,000 บาท เมื่อครบกำหนดชำระราคาส่วนที่เหลือจำเลยทั้งสองไม่ชำระขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินค่าโทรทัศน์สีจำนวน17,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยทั้งสองไม่เคยซื้อโทรทัศน์สีจากโจทก์ นับเวลาที่โจทก์กล่าวในฟ้องว่าจำเลยทั้งสองผิดนัดจนถึงวันฟ้องเป็นเวลา 7 ปีเศษ คดีของโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน26,001 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ย
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…สำหรับปัญหาประการหลังที่ว่า คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่นั้น เห็นว่าโจทก์เป็นพ่อค้าฟ้องเรียกเอาเงินค่าสินค้าจากจำเลยทั้งสองจึงมีกำหนดอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(1) เดิม จำเลยทั้งสองสัญญาว่าจะชำระเงินค่าโทรทัศน์สีตามฟ้องภายในเดือนธันวาคม 2525 อายุความจึงเริ่มนับแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2525 การที่จำเลยทั้งสองทำหนังสือลงวันที่ 3 พฤศจิกายน 2527 ขอผัดผ่อนค่าโทรทัศน์สีตามเอกสารหมาย จ.1จึงเป็นการรับสภาพหนี้ทำให้อายุความสะดุดหยุดลง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172 (เดิม) แต่ตามข้อความในเอกสารหมาย จ.1 ขอผัดผ่อนค่างวดเมื่อขายหมูได้ก่อน ซึ่งมิได้กำหนดเวลาไว้จึงต้องเริ่มนับอายุความขึ้นใหม่ตั้งแต่วันที่ 3พฤศจิกายน 2527 ส่วนการที่จำเลยที่ 1 ทำหนังสือตามเอกสารหมายจ.2 มีข้อความว่าจะนำเงินค่าทีวีสีที่ค้างชำระให้ภายในเดือนตุลาคม2531 โดยไม่ปรากฏว่าหนังสือดังกล่าวทำขึ้นวันเดือนปีใด แต่ก็พอสันนิษฐานได้ว่าน่าจะทำขึ้นภายในปี 2531 ซึ่งเป็นเวลาภายหลังจากอายุความ 2 ปี ที่เริ่มนับใหม่ตั้งแต่วันที่ 3 พฤศจิกายน 2527ครบบริบูรณ์แล้ว หนังสือดังกล่าวจำเลยที่ 1 เป็นผู้เขียนและลงลายมือชื่อแต่เพียงผู้เดียวถือได้ว่า จำเลยที่ 1 ได้ละเสียแล้วซึ่งประโยชน์แห่งอายุความ เป็นการเฉพาะตัวของจำเลยที่ 1 ย่อมไม่ลบล้างสิทธิของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกในอันที่จะยกอายุความขึ้นต่อสู้โจทก์ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 192 เดิม เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้วันที่ 22 มกราคม 2533 อันเป็นเวลาเกินกว่า 2 ปี นับแต่วันที่ 3 พฤศจิกายน 2527 ฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 จึงขาดอายุความและข้อต่อสู้เรื่องอายุความของจำเลยที่ 2 ย่อมไม่มีผลถึงจำเลยที่ 1 ซึ่งได้ละเสียซึ่งประโยชน์แห่งอายุความแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 26,001 บาทพร้อมดอกเบี้ย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์