คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2686/2545

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า วันที่ 6 และ 21 พฤศจิกายน 2541 จำเลยกู้ยืมเงินจากโจทก์80,000 บาท และ 104,000 บาท ตามลำดับ ขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินทั้งสองฉบับจำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยเคยกู้เงินจากโจทก์ไปสองครั้งครั้งแรกประมาณก่อนเดือนกรกฎาคม 2540 จำนวน 50,000 บาท ซึ่งจำเลยสำคัญผิดชำระคืนเกินไปกว่าที่กู้ 25,000 บาท อีกครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2540 จำนวน 80,000 บาทซึ่งจำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว ต่อมาเมื่อโจทก์ให้จำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินตามฟ้อง และทวงถามถึงเงินกู้ทั้งสองจำนวนดังกล่าวจำเลยสำคัญผิดว่ายังชำระให้ไม่ครบจึงชำระเงินไปอีกหลายครั้งรวมเป็นเงิน 24,000 บาท ขอให้บังคับโจทก์คืนเงินจำเลยชำระเกินไป 25,000 บาท และ 24,000 บาท แก่จำเลย ฟ้องแย้งของจำเลยเกี่ยวกับเงินทั้งสองจำนวนเป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่เกี่ยวกับการชำระหนี้เงินกู้ครั้งอื่นไม่เกี่ยวกับสัญญากู้เงินที่โจทก์นำมาฟ้องจึงถือว่าเป็นฟ้องแย้งในเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 6 และ 21 พฤศจิกายน 2541 จำเลยกู้ยืมเงินจำนวน80,000 บาท และ 104,000 บาท ตามลำดับไปจากโจทก์ แล้วผิดนัดชำระหนี้ โจทก์ได้บอกเลิกสัญญาและเรียกให้จำเลยชำระหนี้แล้ว จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้จำนวน 184,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยไม่เคยกู้และรับเงินจากโจทก์ตามฟ้องสัญญากู้ยืมเงินฝ่าฝืนกฎหมายและใช้บังคับไม่ได้ เมื่อปี 2540 จำเลยเคยกู้ยืมเงินโจทก์สองครั้งครั้งแรกประมาณก่อนเดือนกรกฎาคม 2540 จำนวน 50,000 บาท ซึ่งจำเลยชำระเงินคืนแก่โจทก์ 10 ครั้ง ครั้งละ 7,500 บาท รวมเป็น 75,000 บาท เกินกว่าที่จำเลยกู้ยืมจากโจทก์จำนวน 25,000 บาท ครั้งที่สองวันที่ 21 กรกฎาคม 2540 จำนวน 80,000 บาทซึ่งจำเลยชำระแก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว ประมาณปลายปี 2541 โจทก์ให้จำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินสองฉบับตามฟ้อง แล้วทวงถามเงินกู้ทั้งสองจำนวนดังกล่าว จำเลยสำคัญผิดว่ายังชำระหนี้ให้โจทก์ไม่ครบจึงชำระเงินแก่โจทก์อีกหลายครั้ง รวมเป็นเงิน 24,000 บาทขอให้ยกฟ้องโจทก์และขอให้บังคับโจทก์ชำระเงินที่จำเลยชำระเกินไปรวม 49,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย

ศาลชั้นต้นสั่งคำให้การจำเลยว่า รับเป็นคำให้การจำเลย ส่วนฟ้องแย้งของจำเลยไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม จึงไม่รับฟ้องแย้ง

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าฟ้องแย้งของจำเลยชอบที่จะรับไว้พิจารณาหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์ฟ้องว่า วันที่ 6 และ 21 พฤศจิกายน2541 จำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินจากโจทก์ จำนวน 80,000 บาท และ 104,000 บาท ตามลำดับ แล้วผิดนัดไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้เงินกู้ตามสัญญากู้ยืมเงินทั้งสองฉบับพร้อมดอกเบี้ย จำเลยให้การปฏิเสธว่าไม่เคยกู้และรับเงินจากโจทก์ สัญญากู้ยืมเงินทั้งสองฉบับฝ่าฝืนกฎหมาย ใช้บังคับไม่ได้ และฟ้องแย้งว่า จำเลยเคยกู้เงินจากโจทก์ไปสองครั้ง ครั้งแรกประมาณก่อนเดือนกรกฎาคม 2540 จำนวน 50,000 บาท ซึ่งจำเลยสำคัญผิดชำระคืนแก่โจทก์เกินไปกว่าที่กู้จำนวน 25,000 บาท อีกครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2540 จำนวน 80,000 บาท ซึ่งจำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้วต่อมาเมื่อโจทก์ให้จำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินตามฟ้องแล้ว และทวงถามถึงเงินกู้ทั้งสองจำนวนดังกล่าว จำเลยสำคัญผิดว่ายังชำระให้โจทก์ไม่ครบจึงชำระเงินแก่โจทก์ไปอีกหลายครั้ง รวมเป็นเงิน 24,000 บาท ขอให้บังคับโจทก์คืนเงินที่จำเลยชำระเกินไปจำนวน25,000 บาท และ 24,000 บาท แก่จำเลย ฟ้องแย้งของจำเลยที่เกี่ยวกับเงินจำนวน25,000 บาท เห็นได้ชัดว่าเป็นฟ้องแย้งที่จำเลยเรียกเงินที่อ้างว่าได้ชำระให้แก่โจทก์เกินไป โดยสำคัญผิดในการกู้ยืมเงินครั้งก่อนเมื่อก่อนเดือนกรกฎาคม 2540 ส่วนฟ้องแย้งเกี่ยวกับเงินจำนวน 24,000 บาทนั้น เป็นฟ้องแย้งที่จำเลยเรียกเงินที่จำเลยสำคัญผิดจ่ายให้แก่โจทก์เกินไปในการชำระหนี้เงินกู้ครั้งสองเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2540 โดยเมื่อโจทก์ทวงถามถึงเงินกู้ทั้งสองจำนวนตามฟ้อง ทำให้จำเลยสำคัญผิดว่ายังชำระเงินหนี้เงินกู้ดังกล่าวให้โจทก์ไม่ครบจึงชำระให้แก่โจทก์อีกทั้ง ๆ ที่จำเลยชำระครบถ้วนแล้วฟ้องแย้งของจำเลยเกี่ยวกับเงินทั้งสองจำนวนเป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่เกี่ยวกับการชำระหนี้เงินกู้ครั้งอื่น ไม่เกี่ยวกับสัญญากู้เงินที่โจทก์นำมาฟ้อง ซึ่งจำเลยให้การปฏิเสธอยู่ว่าไม่ได้กู้และรับเงินจากโจทก์สัญญากู้ยืมเงินฝ่าฝืนกฎหมายใช้บังคับไม่ได้ จึงถือว่าเป็นฟ้องแย้งในเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม ที่ศาลจะรับไว้พิจารณาที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นไม่รับฟ้องแย้งของจำเลยนั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share