คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5515/2545

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่ให้อำนาจผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์รับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้นั้น มีเจตนารมณ์ให้ผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีนั้นเองเป็นผู้รับรองให้ฎีกาเพราะเป็นผู้ทราบดีว่ามีเหตุสมควรที่จะรับรองให้ฎีกาหรือไม่ ดังนั้น ผู้พิพากษา ส. ที่เพียงแต่มีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยทั้งสามขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ อันเป็นคำสั่งภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาคดีเสร็จแล้ว จึงไม่มีอำนาจรับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริงได้ การที่ ส. รับรองให้ฎีกาจึงไม่ชอบ ถือว่าคดียังคงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง การที่โจทก์ฎีกาโต้แย้งดุลพินิจการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 3ซึ่งเป็นข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามมาตราดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3)เลขที่ 270 หมู่ที่ 1 ตำบลน้ำคำ อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ เนื้อที่ 22 ไร่เศษ โดยซื้อมาเมื่อปี 2527 จำเลยที่ 1 เป็นกระทรวงในรัฐบาล มีหน้าที่ดูแลรักษาที่สาธารณประโยชน์ และขึ้นทะเบียนเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินในความรับผิดชอบของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ดำรงตำแหน่งนายอำเภอเมืองศรีสะเกษ เป็นข้าราชการสังกัดจำเลยที่ 1 มีหน้าที่ดูแลรักษาหนองน้ำสาธารณประโยชน์ในเขตอำเภอเมืองศรีสะเกษ จำเลยที่ 3 ดำรงตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 1 ตำบลน้ำคำ อำเภอเมืองศรีสะเกษ และเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในการดูแลรักษาที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินดังกล่าว เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2535 จำเลยที่ 2 สั่งให้จำเลยที่ 3 พร้อมลูกบ้าน 4 ถึง 5 คน นำหลักหมุดไปปักในที่สาธารณะและปักรุกล้ำเข้าไปในที่ดินโจทก์ ทั้งนำป้ายขนาดแสดงเขตหนองน้ำสาธารณประโยชน์ปักรุกล้ำเข้าไปในที่ดินโจทก์เนื้อที่ 1 ไร่ 1 งาน 94 ตารางวา โจทก์บอกกล่าวแก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้ถอนหลักหมุดออกไปจากที่ดินโจทก์ จำเลยที่ 2 และที่ 3 เพิกเฉยอ้างว่าต้องมีคำสั่งจากจำเลยที่ 1 ก่อน ทำให้โจทก์เสียหาย ที่ดินพิพาทดังกล่าวใช้ปลูกข้าวมีรายได้เฉลี่ยปีละไม่ต่ำกว่า 3,000 บาท ขอให้พิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ห้ามจำเลยทั้งสามเข้าเกี่ยวข้อง ให้จำเลยที่ 1 มีคำสั่งให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ขุดหลักหมุดออกจากที่ดินพิพาท หากไม่ดำเนินการให้โจทก์เป็นผู้ดำเนินการโดยจำเลยทั้งสามเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหายปีละ 3,000 บาท นับแต่ปี 2536 ไปจนกว่าจะดำเนินการดังกล่าวเสร็จและส่งมอบที่ดินคืนโจทก์

จำเลยทั้งสามให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่สาธารณประโยชน์หนองโดนน้อย ซึ่งเป็นที่สาธารณประโยชน์ประเภทประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันและมีการดำเนินการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงเมื่อปี 2535 แม้ที่ดินโจทก์จะมีหลักฐานเป็น น.ส.3 ซึ่งออกโดยอาศัย ส.ค.1 เลขที่ 270 แต่ น.ส. 3 ดังกล่าว มีเนื้อที่มากกว่าที่ระบุใน ส.ค. 1 และออกครอบคลุมที่ดินพิพาทเป็นการออกโดยไม่ชอบ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามดำเนินการรื้อถอนหลักหมุดและป้ายแสดงว่าที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณประโยชน์ออกไปจากที่ดินพิพาท และห้ามจำเลยทั้งสามเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าวอีก คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกา โดยนางสาวสุนทรี อัจฉริยพฤกษ์ ผู้พิพากษาในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้

ศาลฎีกาคณะคดีปกครองวินิจฉัยว่า “คดีนี้ราคาทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง โจทก์ฎีกาพร้อมกับยื่นคำร้องขอให้นางสาวสุนทรี อัจฉริยพฤกษ์ ผู้พิพากษาในศาลชั้นต้นรับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริง ซึ่งนางสาวสุนทรี ได้ลงชื่อรับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริงได้ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติให้อำนาจแก่ผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์รับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้นั้น มีเจตนารมณ์ให้อำนาจแก่ผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีนั้นเองเป็นผู้รับรองให้ฎีกา เพราะเป็นผู้ทราบดีว่ามีเหตุสมควรที่จะรับรองให้ฎีกาหรือไม่ แต่ปรากฏว่านางสาวสุนทรีเป็นผู้พิพากษาที่เพียงแต่มีคำสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ตามคำร้องของจำเลยทั้งสามเท่านั้น อันเป็นคำสั่งภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาคดีเสร็จแล้ว และก่อนที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสาม ซึ่งการมีคำสั่งดังกล่าวนางสาวสุนทรีไม่ได้นั่งพิจารณาคดีนั้นเลย นางสาวสุนทรีจึงไม่มีอำนาจรับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริงได้ การที่นางสาวสุนทรีรับรองให้ฎีกาจึงไม่ชอบถือว่าคดีนี้ยังคงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง ที่โจทก์ฎีกาว่า ที่ดินพิพาทไม่ใช่เป็นที่หนองน้ำสาธารณประโยชน์ เป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ซึ่งวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่หนองน้ำสาธารณประโยชน์เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”

พิพากษายกฎีกาของโจทก์

Share