คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 124/2546

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้คดีก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยขอให้เพิ่มชื่อโจทก์เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาททั้งสองแปลงดั่งเช่นคดีนี้ แล้วได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันและศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมแล้ว แต่ต่อมาภายหลังโจทก์ฟ้องจำเลยและคดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาวินิจฉัยว่าสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวเป็นสัญญาที่มีเงื่อนไข เมื่อโจทก์จำเลยไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความได้ย่อมแสดงว่าเงื่อนไขตามสัญญาไม่สำเร็จผล สัญญาประนีประนอมยอมความย่อมตกไปไม่มีผลบังคับ เมื่อสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นส่วนหนึ่งของคำพิพากษาตามยอม คำพิพากษาตามยอมก็ย่อมไม่มีผลบังคับเช่นกัน ดังนั้น ถือไม่ได้ว่าคดีก่อนมีคำพิพากษาถึงที่สุดในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกับคดีนี้โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และจำเลยเป็นสามีภริยากัน ระหว่างสมรสได้ร่วมกันซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง 2 แปลง คือ ที่ดินโฉนดเลขที่ 21344 และ 21345 โดยใส่ชื่อจำเลยถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินเพียงผู้เดียว โจทก์ได้ขอลงชื่อร่วมกับจำเลยในโฉนดที่ดินดังกล่าว แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของรวมในที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา

จำเลยให้การว่า โจทก์เคยฟ้องขอให้ใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของรวมในที่ดินตามฟ้องและศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดไปแล้วในคดีหมายเลขแดงที่ 8/2539 ของศาลชั้นต้นโจทก์จึงไม่มีสิทธิมายื่นฟ้องเป็นคดีนี้อีกเป็นฟ้องซ้ำ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยไปจดทะเบียนใส่ชื่โจทก์เป็นเจ้าของรวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 21344 และ 21345 ตำบลเมืองเหนือ อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษพร้อมสิ่งปลูกสร้าง หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงตามที่โจทก์จำเลยแถลงรับกันฟังเป็นยุติว่าโจทก์จำเลยเป็นสามีภริยากัน ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างตามฟ้องเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลย เดิมโจทก์เคยยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้นเพื่อขอให้เพิ่มชื่อโจทก์เป็นเจ้าของรวมกับจำเลยในที่ดินตามฟ้องมาแล้ว โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในคดีดังกล่าว โดยตกลงจะขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่เป็นสินสมรสให้แก่ผู้มีชื่อในราคา2,000,000 บาท ภายใน 1 เดือน แล้วนำเงินมาแบ่งกันโดยถือว่าเป็นสินส่วนตัวของแต่ละฝ่าย ศาลพิพากษาตามยอม ปรากฏตามคดีหมายเลขแดงที่ 8/2539 ของศาลชั้นต้น ต่อมาโจทก์จำเลยไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความได้โดยผู้มีชื่อเปลี่ยนใจไม่ซื้อ จึงมีการทำข้อตกลงเพื่อจัดการสินสมรสกันใหม่ว่าจำเลยจะหาผู้ซื้อรายใหม่มาซื้อที่ดินในราคาไม่ต่ำกว่า 2,000,000 บาท แล้วจะแบ่งเงินให้โจทก์ครึ่งหนึ่งตามสัญญาประนีประนอมยอมความหรือหากจำเลยหาเงินมาได้ 1,000,000 บาท จำเลยจะซื้อที่ดินและสิ่งปลูกสร้างส่วนที่เป็นของโจทก์ภายใน 1 เดือน หากไม่สามารถดำเนินการได้ จำเลยยินยอมแบ่งที่ดิน 1 แปลงพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้โจทก์ ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นฉบับลงวันที่ 17 พฤษภาคม 2539 ต่อมาจำเลยไม่สามารถหาผู้ซื้อรายใหม่และไม่สามารถหาเงิน 1,000,000 บาท ได้ ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้โจทก์เลือกและโจทก์ได้เลือกแล้ว แต่จำเลยไม่ดำเนินการจดทะเบียนโอนให้แก่โจทก์ โจทก์จึงฟ้องขอให้บังคับจำเลยโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 21344 พร้อมสิ่งปลูกสร้างตั้งอยู่ตำบลเมืองเหนือ อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ ให้แก่โจทก์ ปรากฏตามคดีหมายเลขแดงที่ 293/2540 ของศาลชั้นต้น คดีดังกล่าวถึงที่สุดโดยศาลฎีกาวินิจฉัยว่าสัญญาประนีประนอมยอมความตามคดีหมายเลขแดงที่ 8/2539 ของศาลชั้นต้นเป็นสัญญามีเงื่อนไขไม่สามารถสำเร็จผลอันมีผลให้สัญญาประนีประนอมยอมความตกไปไม่มีผลบังคับส่วนข้อตกลงตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นฉบับลงวันที่ 17 พฤษภาคม 2539 ในคดีหมายเลขแดงที่ 8/2539 เป็นการตกลงกันระหว่างโจทก์กับจำเลยเพื่อจัดการทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างสมรส ข้อตกลงดังกล่าวจึงเป็นสัญญาระหว่างสมรสคู่สมรสมีสิทธิบอกล้างได้และจำเลยได้บอกล้างข้อตกลงดังกล่าวแล้ว สัญญาระหว่างสมรสของโจทก์กับจำเลยจึงเป็นอันสิ้นผล โจทก์ไม่อาจฟ้องบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามข้อสัญญาได้ พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โจทก์จึงมาฟ้องเป็นคดีนี้ มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้เป้นฟ้องซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ 8/2539ของศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า แม้คดีหมายเลขแดงที่ 8/2539 ของศาลชั้นต้น โจทก์ฟ้องจำเลยขอให้เพิ่มชื่อโจทก์เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาททั้งสองแปลงดั่งเช่นคดีนี้แล้วได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันและศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามยอมแล้วก็ตาม แต่ต่อมาภายหลังโจทก์ได้ฟ้องจำเลยตามคดีหมายเลขแดงที่ 293/2540 ของศาลชั้นต้นและคดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาวินิจฉัยว่าสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวเป็นสัญญาที่มีเงื่อนไข เมื่อโจทก์จำเลยไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความได้ ย่อมแสดงว่าเงื่อนไขตามสัญญาไม่สำเร็จผล สัญญาประนีประนอมยอมความย่อมตกไปไม่มีผลบังคับ เมื่อสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นส่วนหนึ่งของคำพิพากษาตามยอมเช่นนี้ คำพิพากษาตามยอมเป็นอันตกไปไม่มีผลบังคับเช่นกัน ดังนั้นจึงถือไม่ได้ว่าคดีหมายเลขแดงที่ 8/2539 ของศาลชั้นต้นนั้นมีคำพิพากษาถึงที่สุดในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกับคดีนี้ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share