คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1843/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำสั่งของศาลที่ให้งดสืบพยานเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา
หลังจากศาลชั้นต้นชี้สองสถานและมีคำสั่งให้งดสืบพยานแล้วจำเลยยื่นคำร้องว่า ตามที่ศาลได้จดรายงานกระบวนพิจารณาว่าคำให้การของจำเลยไม่ชัดแจ้ง จึงไม่เป็นประเด็นแห่งคดีนั้น จำเลยเห็นว่าคำให้การของจำเลยชัดเจนแล้ว จึงขอให้ศาลกำหนดประเด็นเพิ่มขึ้น ดังนี้ ถือได้ว่าจำเลยได้โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานแล้ว จำเลยชอบที่จะยกประเด็นดังกล่าวขึ้นอุทธรณ์ฎีกาได้
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยในฐานะทายาทของ ย. ชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเกินบัญชี สัญญาเพิ่มวงเงินและสัญญากู้ที่ ย.กู้ยืมไปจากโจทก์จำเลยให้การว่า ย. ไม่ได้เป็นลูกหนี้ ไม่เคยทำสัญญากู้เบิกเกินบัญชี สัญญาเพิ่มวงเงินและสัญญากู้เงินตามเอกสารท้ายฟ้อง ลายมือชื่อในเอกสารดังกล่าวไม่ใช่ลายมือชื่ออันแท้จริงของ ย.หรือหากย. จะลงชื่อไว้ก็โดยบุคคลอื่นหลอกลวงให้ลงชื่อ ดังนี้ เป็นคำให้การที่ขัดกัน จึงเป็นคำให้การที่ไม่ได้แสดงโดยชัดแจ้งว่าจำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง ถือไม่ได้ว่าจำเลยให้การปฏิเสธ และไม่เป็นประเด็นในคดี.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นางยาใจได้ทำสัญญากู้เบิกเกินบัญชีและสัญญากู้เงินจากโจทก์แล้วไม่ชำระหนี้ นางยาใจถึงแก่กรรม จึงขอให้บังคับจำเลยทั้งสามในฐานะทายาทของนางยาใจชำระหนี้เบิกเกินบัญชีจำนวน 1,180,968.47 บาท และดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ยอดหนี้เบิกเกินบัญชีไม่ถูกต้อง โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้น และนางยาใจชำระหนี้เงินกู้แล้ว
จำเลยที่ 3 ให้การว่า นางยาใจไม่เคยกู้เงินหรือกู้เบิกเกินบัญชีหรือเพิ่มวงเงินกู้เบิกเกินบัญชี ลายมือชื่อในเอกสารท้ายฟ้องไม่ใช่ของนางยาใจหรือหากเป็นของนางยาใจก็เป็นเพราะนางยาใจถูกบุคคลอื่นหลอกลวง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามในฐานะทายาทของนางยาใจร่วมกันชำระหนี้ตามฟ้องแก่โจทก์
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่าการที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานจำเลยที่ 3 เป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา เพราะเป็นคำสั่งที่ไม่ทำให้คดีเสร็จสำนวน อย่างไรก็ดีหลังจากศาลชั้นต้นได้ทำการชี้สองสถานและได้มีคำสั่งให้งดสืบพยานแล้ว จำเลยที่ 3 ได้ยื่นคำร้องว่า ตามที่ปรากฏในรายงานกระบวนพิจารณาว่าคำให้การของจำเลยที่ 3 ข้อ 2 เป็นคำให้การไม่ชัดแจ้ง จึงไม่เป็นประเด็นแห่งคดีนั้น จำเลยที่ 3 เห็นว่าคำให้การของจำเลยที่ 3 ข้อ 2 เป็นคำให้การที่ชัดเจนแล้ว จึงขอให้ศาลกำหนดประเด็นตามคำให้การของจำเลยที่ 3 ข้อ 2 เพิ่มขึ้น ดังนี้ถือได้ว่าจำเลยที่ 3 ได้โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานจำเลยที่ 3 แล้ว จำเลยที่ 3 ชอบที่จะยกประเด็นดังกล่าวขึ้นอุทธรณ์ฎีกาได้
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปจึงมีว่า คำให้การของจำเลยที่3 ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 หรือไม่พิเคราะห์แล้วจำเลยที่ 3 ให้การว่า นางยาใจไม่ได้เป็นลูกหนี้ไม่เคยทำสัญญากู้เบิกเกินบัญชีสัญญาเพิ่มวงเงินและสัญญากู้เงินตามเอกสารท้ายฟ้อง ลายมือชื่อในเอกสารดังกล่าวไม่ใช่ลายมือชื่ออันแท้จริงของนางยาใจ หรือหาก (นางยาใจ) จะลงลายมือชื่อไว้ก็โดยมีบุคคลอื่นหลอกลวงให้นางยาใจลงชื่อในเอกสารดังกล่าว ศาลฎีกาเห็นว่าคำให้การของจำเลยที่ 3 ดังกล่าวเป็นคำให้การที่ขัดกันอยู่ในตัว กล่าวคือ ถ้าลายมือชื่อในเอกสารท้ายฟ้องไม่ใช่ลายมือชื่อของนางยาใจที่แท้จริงแล้วนางยาใจก็จะถูกหลอกลวงให้ลงลายมือชื่อในเอกสารดังกล่าวไม่ได้ คำให้การของจำเลยที่ 3 ในข้อนี้จึงเป็นคำให้การที่ไม่ได้แสดงโดยชัดแจ้งว่าจำเลยที่ 3 ยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 ให้การปฏิเสธ และไม่เป็นประเด็นในคดีข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ตามฟ้องว่านางยาใจได้ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี สัญญาเพิ่มวงเงินและสัญญากู้เงินตามเอกสารท้ายฟ้องกับโจทก์จริง เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ดังกล่าวแล้วข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 3 ที่ว่านางยาใจมิได้ตกลงยอมปฏิบัติตามวิธีการบัญชีเดินสะพัด ไม่ได้ตกลงเรื่องการคิดดอกเบี้ยทบต้นและโจทก์มิได้ทวงถามจำเลยที่ 3 ก่อนฟ้อง ก็ย่อมไม่เป็นประเด็นที่จะต้องนำสืบด้วยที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานของทุกฝ่ายและพิพากษาคดีไปจึงชอบแล้ว ไม่มีเหตุที่จะย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นสืบพยานของฝ่ายใดอีก
พิพากษายืน.

Share