คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 92/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ผู้ร้องทำสัญญาซื้อเรือยนต์จากจำเลย โดยชำระเงินสดบางส่วนหนี้ที่เหลือผู้ร้องชำระด้วยเช็คลงวันที่ล่วงหน้าแต่ละเดือน รวม13 ฉบับ ภายหลังจำเลยได้โอนเช็คดังกล่าวให้แก่บุคคลภายนอกสัญญาระหว่างจำเลยและผู้ร้องเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด ซึ่งจำเลยได้โอนกรรมสิทธิ์เรือยนต์ให้แก่ผู้ร้องแล้วและผู้ร้องต้องชำระหนี้ค่าเรือยนต์ให้ครบถ้วนในวันเดียวกัน การที่จำเลยและผู้ร้องตกลงกันให้ผู้ร้องชำระหนี้เป็นรายเดือนตามจำนวนเงินในเช็คเป็นเวลา 1 ปี จึงเป็นสัญญาเพิ่มเติมสัญญาซื้อขายเดิม จำเลยมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามสัญญา จำเลยจะคืนเช็คก่อนถึงกำหนด แล้วขอให้ผู้ร้องชำระหนี้ทั้งหมดทันที หรือขอให้ผู้ร้องชำระหนี้ตามจำนวนเงินในเช็คแต่ละฉบับเมื่อเช็คนั้นยังไม่ถึงกำหนดไม่ได้ แม้จะถือว่ามูลหนี้เดิมตามสัญญาซื้อขายยังไม่ระงับสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321 วรรคท้าย และต่อมาจำเลยถูกฟ้องเป็นคดีล้มละลายและศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อไม่ปรากฏว่าผู้ร้องมีส่วนผิดสัญญา เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ก็ไม่มีสิทธิเรียกให้ผู้ร้องชำระหนี้ตามสัญญาซื้อขาย ส่วนหนี้ตามเช็คฉบับที่ผู้ร้องนำเงินมาวางศาลแล้วกับเช็คอีก 3 ฉบับที่ผู้ทรงเช็คซึ่งรับโอนไปจากจำเลยได้นำมาขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นั้น ปรากฏตามอุทธรณ์ของผู้ร้องว่าผู้ร้องยินยอมชำระเงินตามเช็คทั้งสี่ฉบับนี้ให้แก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ถือว่าผู้ร้องสละประโยชน์แห่งเงื่อนเวลานั้นแล้ว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงมีสิทธิเรียกร้องเงินตามเช็คทั้งสี่ฉบับดังกล่าวได้

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดและมีคำพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ทวงหนี้และยืนยันหนี้ค่าซื้อเรือยนต์ที่ผู้ร้องซื้อไปจากจำเลยจำนวน 135,000 บาท ซึ่งหนี้ดังกล่าวผู้ร้องจ่ายเป็นเช็คลงวันที่ล่วงหน้าจำนวน 13 ฉบับให้แก่จำเลยและจำเลยได้โอนเช็คไปยังบุคคลภายนอกแล้ว ผู้ร้องมีความผูกพันต้องชำระหนี้ตามเช็ค เท่ากับจำเลยได้รับเงินไปครบแล้ว ขอให้จำหน่ายชื่อผู้ร้องจากบัญชีลูกหนี้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์คัดค้านว่า หนี้ระหว่างผู้ร้องกับจำเลยยังไม่ระงับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321 วรรคสามเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอำนาจใช้สิทธิของจำเลยได้ตามพระราชบัญญัติ ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 22, 118, 119 ขอให้ยกคำร้องและบังคับให้ผู้ร้องชำระหนี้ 135,000 บาท แก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องของผู้ร้อง ผู้ร้องอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำหน่ายชื่อผู้ร้องจากบัญชีลูกหนี้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีคงมีปัญหาในชั้นฎีกาว่า ผู้ร้องจะต้องชำระหนี้จำนวน 135,000 บาท แก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์หรือไม่ เห็นว่า สัญญาซื้อขายเรือยนต์ระหว่างจำเลยและผู้ร้องเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด จำเลยได้โอนกรรมสิทธิ์เรือยนต์ให้แก่ผู้ร้องแล้ว ตามปกติผู้ร้องต้องชำระหนี้ค่าเรือยนต์ให้ครบถ้วนในวันเดียวกัน แต่หนี้ค่าเรือยนต์จำนวน 135,000 บาท ผู้ร้องได้ออกเช็คชำระหนี้ ลงวันที่ล่วงหน้าแต่ละเดือนตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน2528 จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2529 ให้แก่จำเลย และจำเลยได้โอนเช็คดังกล่าวให้แก่บุคคลภายนอกไปแล้ว แสดงให้เห็นว่าจำเลยและผู้ร้องตกลงกันให้ผู้ร้องชำระหนี้เป็นรายเดือน ตามจำนวนเงินในเช็คเป็นเวลา 1 ปี โดยผูกพันกันตามมูลหนี้ในเช็คด้วย ข้อตกลงกันดังกล่าวเป็นสัญญาเพิ่มเติมสัญญาซื้อขายเดิม จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามสัญญา จำเลยจะคืนเช็คก่อนเช็คถึงกำหนด แล้วขอให้ผู้ร้องชำระหนี้ทั้งหมดทันที หรือขอให้ผู้ร้องชำระหนี้ตามจำนวนเงินในเช็คแต่ละฉบับเมื่อเช็คนั้นยังไม่ถึงกำหนดไม่ได้ แม้จะถือว่ามูลหนี้เดิมตามสัญญาซื้อขายยังไม่ระงับสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 321 วรรคท้าย ก็ตาม เมื่อไม่ปรากฏว่าผู้ร้องมีส่วนผิดสัญญาด้วย จำเลยจะใช้สิทธิเรียกร้องให้ผู้ร้องชำระหนี้ตามสัญญาซื้อขายไม่ได้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงไม่มีสิทธิเรียกให้ผู้ร้องชำระหนี้ตามสัญญาซื้อขาย ส่วนหนี้ตามเช็คฉบับแรก จำนวนเงิน 15,000บาท ที่ผู้ร้องนำเงินมาวางศาลแล้วกับเช็คอีก 3 ฉบับ จำนวนเงิน30,000 บาท ผู้ทรงเช็คขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตามอุทธรณ์ของผู้ร้องก็ยินยอมชำระเงินตามเช็คทั้งสี่ฉบับดังกล่าวให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ อันเป็นกรณีที่ผู้ร้องสละประโยชน์แห่งเงื่อนเวลานั้นแล้ว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงมีสิทธิเรียกร้องในเงินจำนวนนี้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำหน่ายชื่อผู้ร้องจากบัญชีลูกหนี้ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ผู้ร้องชำระเงิน 45,000 บาทแก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ”

Share