แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
โจทก์ผ่อนชำระค่าเช่าซื้อไม่ตรงตามกำหนดเวลาที่ระบุไว้ในสัญญาเช่าซื้อแต่จำเลยก็รับไว้ แสดงว่าจำเลยมิได้ยึดถือเอาข้อสัญญาเช่าซื้อที่ว่า หากโจทก์ไม่ชำระค่าเช่าซื้องวดใดงวดหนึ่ง ให้ถือว่าสัญญาเช่าซื้อสิ้นสุดลงโดยมิต้องบอกกล่าวเป็นสาระสำคัญ โดยจำเลยยังถือว่าสัญญาเช่าซื้อมีผลบังคับต่อไปจึงรับค่าเช่าซื้อไว้ ดังนั้น หากจำเลยมีความประสงค์จะบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อ จำเลยต้องบอกกล่าวไปยังโจทก์โดยให้ระยะเวลาแก่โจทก์พอสมควร เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยได้บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อ เพราะหวังเพียงได้รับค่าดอกเบี้ยที่ชำระค่าเช่าซื้อล่าช้าและเบี้ยปรับ และการที่พนักงานของจำเลยไปยึดรถยนต์บรรทุกพิพาทคืน โจทก์ได้โต้แย้งคัดค้านมิได้ยินยอมด้วยโดยไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานตำรวจ สัญญาเช่าซื้อจึงยังไม่เลิกกันและมีผลบังคับกันต่อไป โจทก์ผู้เช่าซื้อชอบที่จะครอบครองรถยนต์บรรทุกพิพาทต่อไป และจำเลยต้องส่งมอบรถยนต์บรรทุกดังกล่าวคืนโจทก์ แต่จำเลยได้ขายรถยนต์บรรทุกดังกล่าวให้แก่ ส. ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไปแล้ว จึงเป็นการพ้นวิสัยที่จะนำรถยนต์บรรทุกพิพาทกลับมาคืนโจทก์ เพราะพฤติการณ์ที่จำเลยต้องรับผิดชอบ จำเลยจึงต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 218 วรรคแรก และการครอบครองรถยนต์บรรทุกพิพาทของโจทก์เป็นการครอบครองโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อที่ยังมิได้เลิกกัน การใช้รถยนต์บรรทุกพิพาทของโจทก์จึงไม่อาจคิดเป็นค่าขาดประโยชน์ที่โจทก์ต้องชำระแก่จำเลยและนำไปหักกลบลบหนี้กับค่าเช่าซื้อได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องโดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาว่า โจทก์ได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 80-2511 ยะลา ไปจากจำเลยในราคา 824,790 บาท ตกลงผ่อนชำระเป็นงวด หลังจากทำสัญญาเช่าซื้อแล้วโจทก์ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่จำเลย 18 งวด เป็นเงิน 540,000 บาท ซึ่งบางครั้งไม่ได้ชำระตรงตามเวลา แต่จำเลยก็รับค่างวดโดยไม่ได้โต้แย้งหรือบอกเลิกสัญญา โดยชำระค่าเช่าซื้องวดที่ 18 เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2537 เป็นเงินจำนวน 30,000 บาท ต่อมาโจทก์ชำระค่าเช่าซื้องวดที่ 19 ถึงที่ 21 แก่จำเลยเป็นเงินจำนวน 90,000 บาท งวดที่ 21 ชำระเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2539 หลังจากนั้นโจทก์มิได้ชำระค่าเช่าซื้ออีก โจทก์ค้างชำระค่าเช่าซื้ออีกจำนวน 64,790 บาท วันที่ 7 มกราคม 2541 จำเลยให้พนักงานยึดรถยนต์บรรทุกที่เช่าซื้อไปจากโจทก์ โดยโจทก์ไม่ยินยอม เป็นการไม่ชอบ จำเลยไม่ได้กำหนดระยะเวลาบอกกล่าวให้โจทก์ชำระหนี้ในเวลาอันสมควรก่อนและมิได้บอกเลิกสัญญาต่อโจทก์ จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่าซื้อ จำเลยต้องคืนเงินให้โจทก์จำนวน 500,000 บาท และคืนเงินค่าปั้นจั่นจำนวน 300,000 บาท รวมเป็นเงิน 800,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 800,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ได้เช่าซื้อรถยนต์บรรทุกพิพาทพร้อมปั้นจั่นสำหรับยกของหนักตามฟ้อง แต่โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาตามสัญญาเช่าซื้อข้อ 10 ที่ว่า หากผู้เช่าซื้อผิดนัดในการชำระค่าเช่าซื้องวดใดงวดหนึ่ง ทำให้สัญญาเช่าซื้อสิ้นสุดลงทันทีโดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าหรือทวงถาม และโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินค่าเช่าซื้อที่ได้ชำระแล้วกลับคืน จำเลยมีสิทธิยึดเงินค่าเช่าซื้อหรือเงินใดๆ ที่ได้ชำระตามสัญญาโจทก์ผ่อนชำระค่าเช่าซื้อให้จำเลย 22 งวด คิดเป็นเงิน 760,000 บาท คงค้างชำระอีก 64,790 บาท โจทก์ผิดนัดไม่ผ่อนชำระเป็นต้นมา ทำให้สัญญาเช่าซื้อเป็นอันเลิกกันทันทีนับตั้งแต่วันที่ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อ โดยไม่ต้องบอกกล่าวทวงถามก่อน ต่อมาเดือนพฤศจิกายน 2540 จำเลยบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อต่อโจทก์อีกครั้งหนึ่ง โดยบอกกล่าวกำหนดให้โจทก์ชำระค่าเช่าซื้อที่ค้าง 2 งวดสุดท้ายพร้อมด้วยเบี้ยปรับจากการชำระค่าเช่าซื้อล่าช้าให้เสร็จสิ้นครบถ้วนในเดือนธันวาคม 2540 หากไม่ชำระให้ถือว่าสัญญาเลิกกันทันที ปรากฏว่าโจทก์เพิกเฉยไม่ชำระค่าเช่าซื้อ จึงถือว่าสัญญาเช่าซื้อเลิกกันทันที โจทก์มีหน้าที่ส่งมอบรถยนต์บรรทุกที่เช่าซื้อคืนแก่จำเลยในสภาพที่เรียบร้อยและใช้การได้ดี โจทก์กลับเพิกเฉยไม่ส่งมอบรถยนต์บรรทุกคืน วันที่ 7 มกราคม 2541 จำเลยติดตามยึดรถยนต์บรรทุกที่เช่าซื้อกลับคืนมาได้ โดยโจทก์มิได้โต้แย้ง จำเลยมีสิทธิยึดเงินค่าเช่าซื้อที่โจทก์ชำระแล้วทั้งหมด โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินค่าปั้นจั่นที่นำมาติดตั้งเข้ากับรถยนต์บรรทุกที่เช่าซื้อจากจำเลย โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 205,600 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 8 ตุลาคม 2541 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยส่งมอบปั้นจั่นที่ติดตั้งบนรถยนต์บรรทุกที่เช่าซื้อให้แก่โจทก์ หากคืนไม่ได้ให้จำเลยใช้ราคาแทนเป็นเงิน 100,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี สำหรับค่าธรรมเนียมศาลที่โจทก์ได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถานั้นให้จำเลยนำมาชำระต่อศาลในนามของโจทก์ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 465,181 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนที่ให้จำเลยส่งมอบปั้นจั่นแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 โดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาโต้แย้งว่า โจทก์ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 80-2511 ยะลา ไปจากจำเลยในราคา 824,790 บาท โจทก์ผ่อนชำระค่าเช่าซื้อแล้ว เป็นเงิน 760,000 บาท ซึ่งการชำระค่าเช่าซื้อดังกล่าวโจทก์ชำระไม่ตรงตามกำหนดระยะเวลาที่ระบุไว้ในสัญญา โจทก์ยังคงค้างชำระค่าเช่าซื้ออีก 74,790 บาท จำเลยจึงให้พนักงานไปยึดรถยนต์บรรทุกที่เช่าซื้อคืน ซึ่งโจทก์ได้ไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานตำรวจตามรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีเอกสารหมาย จ.9 ต่อมาจำเลยได้ขายรถยนต์บรรทุกดังกล่าวให้แก่นายสิทธิโชติ เหลืองวรพันธ์ไปในราคา 450,000 บาท
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยต้องรับผิดชำระเงินให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 หรือไม่ จำเลยฎีกาว่า สัญญาเช่าซื้อรถยนต์บรรทุกพิพาทเลิกกันแล้วโดยชอบด้วยการบอกกล่าวและยึดรถกลับคืน หากรถยนต์บรรทุกพิพาทอยู่ในความครอบครองของจำเลย จำเลยสามารถนำออกให้เช่าได้เดือนละ 10,000 บาท โจทก์ใช้รถยนต์บรรทุกพิพาทเป็นเวลา 61 เดือน คิดเป็นค่าขาดประโยชน์เป็นเงิน 610,000 บาท เมื่อหักกลบกับค่าเช่าซื้อแล้ว จำเลยต้องชำระเงินให้แก่โจทก์จำนวน 214,970 บาท เห็นว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติแล้วว่า การผ่อนชำระค่าเช่าซื้อของโจทก์ โจทก์ชำระไม่ตรงตามกำหนดระยะเวลาที่ระบุไว้ในสัญญาเช่าซื้อ แต่จำเลยก็รับไว้ แสดงว่าจำเลยมิได้ยึดถือเอาสัญญาข้อ 10 ในสัญญาเช่าซื้อที่ว่าหากโจทก์ไม่ชำระค่าเช่าซื้องวดใดงวดหนึ่ง ให้ถือว่าสัญญาเช่าซื้อสิ้นสุดลงโดยมิต้องบอกกล่าวเป็นสาระสำคัญ โดยจำเลยยังถือว่าสัญญาเช่าซื้อมีผลต่อไป จึงรับค่าเช่าซื้อไว้ ดังนั้น หากจำเลยมีความประสงค์จะบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อ จำเลยต้องบอกกล่าวไปยังโจทก์โดยให้ระยะเวลาแก่โจทก์พอสมควร แต่ทางนำสืบของจำเลยไม่ปรากฏว่าจำเลยได้บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อต่อโจทก์ประการใด โดยจำเลยหวังเพียงได้รับค่าดอกเบี้ยที่ชำระค่าเช่าซื้อล่าช้าและเบี้ยปรับเท่านั้น การที่พนักงานของจำเลยไปยึดรถยนต์บรรทุกพิพาทคืน โจทก์ได้โต้แย้งคัดค้านมิได้ยินยอมด้วยโดยไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานตำรวจตามรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีเอกสารหมาย จ.9 ที่จำเลยอ้างว่าเลิกกันแล้วด้วยการบอกกล่าวและยึดรถยนต์บรรทุกกลับคืน จึงไม่มีน้ำหนักรับฟัง เมื่อสัญญาเช่าซื้อยังไม่เลิกกันและมีผลบังคับกันต่อไป โจทก์ผู้เช่าซื้อชอบที่จะครอบครองรถยนต์บรรทุกพิพาทต่อไป จำเลยจึงต้องส่งมอบรถยนต์บรรทุกดังกล่าวคืนโจทก์ แต่จำเลยได้ขายรถยนต์บรรทุกดังกล่าวให้แก่นายสิทธิโชติซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไปแล้วจึงเป็นการพ้นวิสัยที่จะนำรถยนต์บรรทุกพิพาทกลับมาคืนโจทก์ เพราะพฤติการณ์ที่จำเลยต้องรับผิดชอบ จำเลยจึงต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 218 วรรคแรก ซึ่งการครอบครองรถยนต์บรรทุกพิพาทของโจทก์เป็นการครอบครองโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อที่ยังมิได้เลิกกัน การใช้รถยนต์บรรทุกพิพาทของโจทก์จึงไม่อาจคิดเป็นค่าขาดประโยชน์ที่โจทก์ต้องชำระแก่จำเลยและนำไปหักกลบกับค่าเช่าซื้อตามที่จำเลยฎีกา ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 กำหนดค่าเสียหายในส่วนนี้ให้แก่โจทก์โดยนำราคารถยนต์บรรทุกพิพาทที่จำเลยขายให้แก่นายสิทธิโชติหักด้วยค่าเช่าซื้อที่โจทก์ยังค้างชำระแก่จำเลยตามใบแจ้งหนี้เอกสารหมาย จ.8 ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน