คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3050/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยเข้าครอบครองที่ดินพิพาท โดยอาศัยสิทธิตามสัญญาจะซื้อขายที่มีข้อตกลงว่าจะไปโอนที่พิพาทกันในภายหลัง เป็นการยึดถือที่พิพาทแทนโจทก์ผู้จะขาย มิใช่เป็นการยึดถือในฐานะเป็นเจ้าของ ถือไม่ได้ว่ามีการแย่งการครอบครอง หากจำเลยจะเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือก็ต้องบอกกล่าวไปยังโจทก์ว่าไม่เจตนาจะยึดถือที่พิพาทแทนโจทก์ต่อไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 การที่โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยซื้อที่พิพาท จำเลยไม่ซื้อ บอกให้จำเลยออกไป จำเลยเพิกเฉย แต่ได้รื้อบ้านไม้ที่ปลูกอยู่ในที่พิพาทแล้วปลูกเป็นบ้านตึกใหม่ ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยได้บอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือ อันเป็นการแย่งการครอบครองที่พิพาท ดังนั้น จึงไม่อาจเริ่มนับระยะเวลาที่โจทก์ถูกแย่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375.

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองฟ้องว่าโจทก์มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินเลขที่ 528 เลขที่ดิน 66 ตำบลสามชุก (บ้านทึง) อำเภอสามชุก (นางบวช)จังหวัดสุพรรณบุรีเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2517 จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นภริยาจำเลยที่ 1 ขอแบ่งซื้อที่ดินแปลงนี้จากโจทก์เป็นเนื้อที่1 งานในราคา 30,000 บาทวางมัดจำ 25,000 บาทโดยทำหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายกันไว้แล้วจำเลยทั้งสองได้ปลูกสร้างโรงเรียนลงบนที่ดินที่จะซื้อ โจทก์ยื่นคำร้องขอให้เจ้าพนักงานที่ดินทำการรังวัดแบ่งแยกที่ดินให้จำเลยที่ 2 สามครั้งแต่มีอุปสรรคทุกครั้งนอกจากนี้จำเลยทั้งสองขัดขวางไม่ยอมให้เจ้าพนักงานรังวัดลงหลักเขตที่ดิน พนักงานรังวัดจึงระงับการรังวัดไว้ให้โจทก์จำเลยทำความตกลงกัน ต่อมาโจทก์ต้องการตกลงราคาขายที่ดินกับจำเลยใหม่จำเลยไม่ยินยอมจำเลยที่ 2 ขอเลิกสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกับโจทก์และรับมัดจำคืนโจทก์ได้บอกให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของโจทก์จำเลยเพิกเฉยขอให้พิพากษาบังคับให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างโรงเรือนและขนย้ายทรัพย์สินรวมทั้งสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ ออกจากที่ดินของโจทก์พร้อมด้วยบริวารหากจำเลยไม่ปฏิบัติตามขอศาลสั่งให้บุคคลภายนอกเป็นผู้รื้อถอนโดยให้จำเลยเสียค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระค่าเสียหาย 800 บาทและชำระค่าเสียหาย 200 บาทต่อเดือนนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่าจำเลยทั้งสองทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินตามโฉนดดังกล่าวจำนวน 1 งานจริงแต่ที่ดินพิพาทที่จำเลยทั้งสองครอบครองอยู่เป็นที่ดินที่อยู่นอกโฉนดของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าจำเลยทั้งสองครอบครองโดยสงบโดยเปิดเผยและด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมากว่า 1 ปีแล้วจำเลยทั้งสองจึงได้สิทธิครอบครองในที่พิพาทโจทก์ทั้งสองบอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายที่พิพาททั้งยินยอมคืนเงินมัดจำให้จำเลยที่2 และมิได้เกี่ยวข้องกับที่พิพาทอีกเลยจำเลยทั้งสองมิได้ทำละเมิดต่อโจทก์ฟ้องโจทก์ขาดอายุความเพราะมิได้ฟ้องภายใน 1 ปีนับแต่วันที่มีการโต้แย้งสิทธิและรบกวนการครอบครองขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ โจทก์ยังไม่หมดสิทธิฟ้องเรียกที่พิพาทคืนพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างโรงเรียนและขนย้ายทรัพย์สินรวมทั้งสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ ออกจากที่ดินของโจทก์พร้อมบริวารหากจำเลยไม่ปฏิบัติตามก็ให้บุคคลภายนอกเป็นผู้รื้อถอนโดยให้จำเลยเสียค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายเป็นเงิน800 บาทและค่าเสียหายเดือนละ 200 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างโรงเรือนและขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่พิพาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าปัญหาในชั้นนี้มีว่าโจทก์มีสิทธิฟ้องคดีนี้หรือไม่เห็นว่าตามคำรับของคู่ความการที่จำเลยเข้าครอบครองที่พิพาทแต่แรกนั้นเป็นการเข้าครอบครองโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาจะซื้อขายโดยมีข้อตกลงว่าจะไปโอนที่พิพาทกันในภายหลังจึงเป็นการยึดถือที่พิพาทแทนโจทก์มิใช่เป็นการยึดถือในฐานะเป็นเจ้าของถือไม่ได้ว่ามีการแย่งการครอบครองต่อมาเมื่อโจทก์สั่งวัดแบ่งแยกที่ดินพิพาทให้จำเลยไม่ได้จึงได้มีการทำบันทึกกันระหว่างโจทก์จำเลยในวันที่ 20 สิงหาคม 2525 ตามเอกสารหมายจ.3 ซึ่งก็มีระบุเกี่ยวกับที่ดินแปลงที่จะซื้อขายกันอีก แสดงว่าก่อนหน้านั้นก็ยังเป็นการครอบครองโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาจะซื้อขายนั้นเองจนกระทั่งภายหลังวันที่ 2 กันยายน 2525 เมื่อรังวัดไม่ได้อีกแล้วก็มีการตกลงคืนเงินกันซึ่งจำเลยว่าเป็นการที่โจทก์ชำระค่าปรับแต่โจทก์ว่าเป็นการคืนมัดจำตามสัญญาจะซื้อขายเพราะมีวัดบ้านทึงคัดค้านการรังวัดโจทก์จึงคืนเงินไปก่อนหากวัดบ้านทึงตรวจสอบแล้วปรากฏว่าไม่ใช่ที่ของวัดจึงจะมาซื้อขายกันใหม่ ในข้อนี้นายพิศ ขวัญกุลพยานโจทก์ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านท้องที่พิพาทและพระครูวิชิตสังฆกิจพยานจำเลยเบิกความสอดคล้องต้องกันว่าทางวัดเคยคัดค้านการรังวัดจริงจึงน่าเชื่อว่าโจทก์คืนเงินให้จำเลยไปก่อนโดยยังมีข้อตกลงเรื่องการจะซื้อขายกันอยู่ ดังนั้นในช่วงนี้จึงจะถือว่าจำเลยแย่งการครอบครองที่พิพาทยังไม่ได้ภายหลังนั้นจำเลยก็อ้างว่าจำเลยรื้อบ้านเดิมซึ่งเป็นบ้านไม้และปลูกใหม่เป็นตึกมีข้อต้องพิจารณาว่าการกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการแย่งการครอบครองที่พิพาทหรือไม่ เห็นว่าการที่จำเลยครอบครองที่พิพาทอยู่ในฐานะยึดถือที่พิพาทแทนโจทก์หากจำเลยจะเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือก็ต้องบอกกล่าวไปยังโจทก์ว่าไม่เจตนาจะยึดถือที่พิพาทแทนโจทก์ต่อไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1381 การที่โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยซื้อที่พิพาทจำเลยไม่ซื้อในที่สุดได้บอกให้จำเลยออกไปจำเลยเพิกเฉยแต่ได้รื้อบ้านไม้ซึ่งปลูกอยู่ในที่พิพาทแล้วปลูกเป็นบ้านตึกใหม่ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยได้บอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถืออันเป็นการแย่งการครอบครองที่พิพาทดังนั้นจึงไม่อาจเริ่มนับระยะเวลาที่โจทก์ถูกแย่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1375 โจทก์จึงยังไม่หมดสิทธิฟ้องเรียกที่พิพาทคืน ฎีกาโจทก์ฟังขึ้นแต่ตามคำขอของโจทก์ที่ว่าถ้าจำเลยไม่รื้อถอนให้บุคคลภายนอกเป็นผู้รื้อถอนโดยให้จำเลยเสียค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนไม่ชอบตามบทบัญญัติมาตรา 296ทวิแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งชอบที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้เจ้าพนักงานบังคับคดีปฏิบัติไปตามบทบัญญัติดังกล่าว
พิพากษากลับให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเว้นแต่ตามคำขอที่ว่าถ้าจำเลยไม่รื้อถอนให้บุคคลภายนอกเป็นผู้รื้อถอนโดยให้จำเลยเสียค่าใช้จ่ายให้ยกเสีย.

Share