แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
เมื่อพินัยกรรมแบบเขียนเองที่ผู้ตายทำไว้เป็นพินัยกรรมที่มีผลสมบูรณ์ชอบด้วยกฎหมาย และผู้ตายซึ่งเป็นเจ้ามรดกทำพินัยกรรมจำหน่ายทรัพย์มรดกทั้งหมดให้แก่ ล. ภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมคนหนึ่งในขณะนั้นเพียงคนเดียวแล้ว ก็ต้องถือว่าบรรดาทายาทโดยธรรมอื่นๆ ผู้ที่มิได้รับประโยชน์จากพินัยกรรมเป็นผู้ถูกตัดมิให้รับมรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1608 วรรคสอง ผู้คัดค้านซึ่งแม้จะเป็นทายาทโดยธรรมคนหนึ่งจึงมิใช่เป็นผู้มีส่วนได้เสียที่จะร้องขอให้ศาลสั่งถอนผู้จัดการมรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1727 วรรคแรก ได้ แม้ผู้คัดค้านและทายาทโดยธรรมอื่นๆ จะทำบันทึกข้อตกลงไว้กับ ล. ผู้รับทรัพย์มรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1727 วรรคแรก ได้ แม้ผู้คัดค้านและทายาทโดยธรรมอื่นๆ จะทำบันทึกข้อตกลงไว้กับ ล. ผู้รับทรัพย์มรดกตามพินัยกรรมแต่เพียงผู้เดียวก็ตาม บันทึกข้อตกลงดังกล่าวก็เป็นเพียงข้อตกลงระหว่างผู้คัดค้านและทายาทโดยธรรมอื่นๆ กับ ล. ผู้รับทรัพย์มรดกแต่เพียงผู้เดียวและผู้ร้องซึ่งถูกทำขึ้นหลังจากที่ผู้ตายซึ่งเป็นเจ้ามรดกได้ถึงแก่ความตายไปแล้ว จึงเป็นข้อตกลงที่ไม่เกี่ยวข้องกับการมีสิทธิรับมรดกแต่ประการใดทั้งสิ้นและไม่ก่อให้ผู้คัดค้านกลับกลายเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่จะร้องขอให้ศาลถอนผู้จัดการมรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1727 วรรคแรก หรือขอให้ตั้งผู้จัดการมรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1713 ได้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของพลอากาศเอกสวัสดิ์ ผู้ตายตามพินัยกรรมที่ผู้ตายทำพินัยกรรมยกทรัพย์มรดกทั้งหมดให้แก่คุญหญิงลาวัณย์ แต่ภายหลังคุณหญิงลาวัลย์เป็นผู้เสมือนไร้ความสามารถและอยู่ในความพิทักษ์ของผู้ร้อง
ผู้คัดค้านยื่นคำร้องคัดค้านว่า ผู้ร้องกับพวกร่วมกันปลอมพินัยกรรมดังกล่าวขึ้นมา ผู้ร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกโดยทายาทอื่นไม่ทราบและไม่ได้ให้ความยินยอมไม่เคยจัดทำบัญชีทรัพย์มรดกและเบียดบังทรัพย์มรดกหรือแสวงหาผลประโยชน์ในทรัพย์มรดกของผู้ตาย ผู้คัดค้านเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย มิได้เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้เป็นผู้จัดการมรดก ขอให้ถอนผู้ร้องออกจากการเป็นผู้จัดการมรดก และตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย
ผู้ร้องยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านและทายาทอื่นทราบว่าผู้ตายทำพินัยกรรมยกทรัพย์และมรดกให้แก่คุณหญิงลาวัลย์ไปแล้วจึงมาขอให้ผู้ร้องปรึกษากับคุณหญิงลาวัลย์ให้ช่วยแบ่งทรัพย์มรดกบางส่วนให้ผู้คัดค้านและทายาทอื่นบ้าง ซึ่งผู้ร้องก็ได้จัดการแบ่งทรัพย์มรดกบางส่วนให้ผู้คัดค้านและทายาทอื่นตามบันทึกข้อตกลงแล้วขอให้ยกคำร้องคัดค้าน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องของผู้คัดค้าน ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า พลอากาศเอกสวัสดิ์ ผู้ตายถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2545 ก่อนถึงแก่ความตายผู้ตายมีภริยารวม 4 คน มีบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายรวม 10 คน ภริยาคนสุดท้ายของผู้ตายคือคุณหญิงลาวัณย์ มีบุตรด้วยกัน 3 คน คือนางลลนา นางลัลนา ผู้ร้อง และนายลัน ดังปรากฏรายละเอียดตามบัญชีเครือญาติ ส่วนผู้คัดค้านเป็นบุตรที่เกิดจากภริยาคนแรกหลังจากที่ผู้ตายถึงแก่ความตายแล้วเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2545 ทายาททั้งหมดของผู้ตายได้ประชุมเปิดพินัยกรรมซึ่งปรากฏว่าเท่าที่ค้นพบในขณะนั้นมีพินัยกรรมแบบเขียนเองที่ผู้ตายทำไว้ลงวันที่ 30 พฤษภาคม 2534 ตามสำเนาพินัยกรรมเอกสารหมาย ร.5 ซึ่งผู้ร้องได้ส่งต้นฉบับไว้ต่อศาลด้วย กับมีเอกสารที่ผู้ตายเขียนแสดงเจตนารมณ์เพื่อให้แบ่งปันทรัพย์มรดกแก่ทายาทคนอื่นๆ ของผู้ตายด้วยลายมือของผู้ตายเองลงวันที่ 29 พฤษภาคม 2543 ต่อมาเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2546 ทายาทโดยธรรมทั้งหมดของผู้ตายตกลงกันทำบันทึกข้อตกลงเพื่อแบ่งปันทรัพย์สินกัน โดยบันทึกข้อตกลงดังกล่าวยินยอมให้นางสาวลัลนา เป็นผู้ไปยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายแต่เพียงผู้เดียวเนื่องจากคุณหญิงลาวัลย์ภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายขณะที่ผู้ตายถึงแก่ความตายและเป็นผู้รับทรัพย์มรดกของผู้ตายตามพินัยกรรมเพียงคนเดียวตลอดจนเป็นบุคคลที่ผู้ตายแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการมรดกไว้ในพินัยกรรมขาดคุณสมบัติที่จะเป็นผู้จัดการมรดกได้เพราะเป็นผู้เสมือนไร้ความสามารถ
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นยกคำร้องของผู้คัดค้านที่ขอให้ถอนผู้ร้องจากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายแทนนั้นชอบแล้วหรือไม่ เพียงใด ที่ผู้คัดค้านอ้างในฎีกาว่า ผู้คัดค้านและทายาทโดยธรรมอื่นๆ ของผู้ตายไม่เชื่อว่าผู้ตายจะทำพินัยกรรมตามเอกสารหมาย ร.5 ไว้เป็นฉบับสุดท้ายเพราะผู้ตายเป็นคนะละเอียดรอบคอบและรักลูกทุกคน ในวันที่มีการประชุมเปิดพินัยกรรมนั้นก็ปรากฏว่าไม่พบเอกสารและทรัพย์สินที่มีค่าอื่นใด คงพลแต่ซองพินัยกรรมตามเอกสารหมาย ร.5 เท่านั้น ซึ่งพินัยกรรมฉบับดังกล่าวถูกทำขึ้นเป็นระยะเวลานานแล้วน่าจะมีพินัยกรรมฉบับหลังจากนี้อีก ทั้งผู้ตายเขียนพินัยกรรมตามเอกสารหมาย ร.5 ขึ้นมาในขณะที่มีปัญหาทะเลาะวิวาทกับคุณหญิงลาวัณย์อย่างรุนแรงเนื่องจากผู้ตายไปมีภริยาใหม่อีกคนและพูดเสมอว่าที่ทำไปเพื่อให้ออกจากบ้านได้และให้คุณหญิงลาวัลย์สบายใจ ก่อนหน้านั้นผู้ตายก็เคยทำพินัยกรรมาก่อนแล้วหลายฉบับแต่ก็ถูกยกเลิกไปโดยปริยายเพราะผู้ตายเป็นคนชอบเขียนพินัยกรรมขึ้นใหม่เป็นปกติวิสัยจึงไม่มีทางที่ผู้ตายจะให้มีผลบังคับตามพินัยกรรมเอกสารหมาย ร.5 นั้นเ เห็นว่าข้ออ้างข้อเถียงของผู้คัดค้านดังกล่าวก็ฟังดูมีเหตุผลและมีความเป็นไปได้ แต่ผู้คัดค้านก็ไม่มีพยานหลักฐานใดๆ มานำสืบพิสูจน์ให้เห็นว่าความจริงเป็นเช่นนั้น อีกทั้งทางนำสืบของผู้คัดค้านก็ยอมรับว่าลายมือเขียนข้อความและลายมือชื่อในพินัยกรรมตามเอกสารหมาย ร.5 เป็นของผู้ตายจริง นอกจากนี้หากคิดในมุมกลับตามที่ผู้คัดค้านอ้างว่าผู้ตายเป็นคนละเอียดรอบคอบรักลูกทุกคนเสมอเท่าเทียมกัน อีกทั้งไม่น่าจะเป็นไปได้ที่ตู้นิรภัยไม่มีทรัพย์สินอื่นใดอีกนอกจากพินัยกรรมตามเอกสารหมาย ร.5 และผู้ร้องก็เป็นบุคคลที่สามารถเปิดตู้นิรภัยของผู้ตายเองตลอดเวลาซึ่งผู้ร้องก็อ้างว่าก่อนถึงแก่ความตายผู้ตายมักจะใช้ให้ผู้ร้องเป็นคนเปิดตู้นิรภัยให้จริงดังนั้นแล้ว เห็นว่าหากผู้ตายเป็นคนละเอียดรอบคอบจริงและรู้อยู่ว่ามีบุคคลอื่นนอกจากตนสามารถเปิดตู้นิรภัยได้แล้ว ตามวิสัยและพฤติการณ์ของวิญญูชนทั่วไปในสถานการณ์เช่นนั้นย่อมเล็งเห็นผลว่าหากตนเขียนพินัยกรรมฉบับใหม่ขึ้นอีกหลังพินัยกรรมตามเอกสารหมาย ร.5 เพื่อแบ่งปันทรัพย์มรดกให้แก่ทายาทโดยธรรมดาอื่นๆ อย่างเสมอภาคเท่าเทียมกันมิใช่ยกทรัพย์สินทั้งหมดให้แก่คุณหญิงลาวัลย์ภริยาคนสุดท้ายที่อยู่ด้วยกันเพียงคนเดียวเช่นนั้นแล้ว ก็ย่อมเป็นปกติวิสัยที่ผู้ตายจะนำพินัยกรรมฉบับอื่นที่ทำขึ้นหลังพินัยกรรมตามเอกสารหมาย ร.5 ที่ฝ่ายผู้คัดค้านอ้างว่าทำขึ้นเพื่อเป็นการประนีประนอมหรือระงับข้อวิวาทระหว่างผู้ตายกับคุณหญิงลาวัลย์มารดาของผู้ร้องในขณะนั้น ด้วยการนำพินัยกรรมฉบับหลังสุดที่ผู้ตายทำขึ้นไม่ว่าฉบับใดก่อนที่ผู้ตายจะถึงแก่ความตายไปฝากบุคคลอื่นที่ไว้เนื้อเชื่อใจได้และเป็นผู้ที่ครอบครัวของผู้ตายให้ความเคารพนับถือเป็นผู้เก็บรักษาไว้หรือมิฉะนั้นก็ทำเป็นพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมืองซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ของทางราชการที่มีหน้าที่จะเป็นผู้เก็บรักษาไว้ ดังนั้นพยานหลักฐานของผู้คัดค้านจึงยังฟังไม่ได้ว่าพินัยกรรมตามเอกสารหมาย ร.5 เป็นพนัยกรรมที่ไม่สมบูรณ์และไม่มีผลบังคับเนื่องจากผู้ตายได้ทำพินัยกรรมฉบับใหม่หลังจากนั้นไว้อีกดังที่ผู้คัดค้านนำสืบและอ้างในฎีกา ฉะนั้นเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าพินัยกรรมตามเอกสารหมาย ร.5 เป็นพินัยกรรมที่มีผลสมบูรณ์ชอบด้วยกฎหมายและผู้ตายซึ่งเป็นเจ้ามรดกทำพินัยกรรมจำหน่ายทรัพย์มรดกทั้งหมดให้แก่คุณหญิงลาวัลย์ภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมคนหนึ่งในขณะนั้นเพียงคนเดียวแล้วก็ต้องถือว่าบรรดาทายาทโดยธรรมอื่นๆ ซึ่งเป็นผู้ที่มิได้รับประโยชน์จากพินัยกรรมเป็นผู้ถูกตัดมิให้รับมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1608 วรรคสอง ผู้คัดค้านซึ่งแม้จะเป็นทายาทโดยธรรมดาหนึ่งจึงมิใช่เป็นผู้มีส่วนได้เสียที่จะร้องขอให้ศาลสั่งถอนผู้จัดการมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1727 วรรคแรก ได้ แม้ผู้คัดค้านและทายาทโดยธรรมอื่นๆ จะทำบันทึกข้อตกลงไว้กับคุณหญิงลาวัณย์ผู้รับทรัพย์มรดกตามพินัยกรรมเอกสารหมาย ร.5 แต่เพียงผู้เดียวก็ตาม บันทึกข้อตกลงดังกล่าวก็เป็นเพียงข้อตกลงระหว่างผู้คัดค้านและทายาทโดยธรรมอื่นๆ กับคุณหญิงลาวัณย์ผู้รับทรัพย์มรดกแต่เพียงผู้เดียวและผู้ร้องซึ่งถูกทำขึ้นหลังจากที่พลอากาศเอกสวัสดิ์ผู้ตายซึ่งเป็นเจ้ามรดกได้ถึงแก่ความตายไปแล้ว จึงเป็นข้อตกลงที่ไม่เกี่ยวข้องกับการมีสิทธิรับมรดกแต่ประการใดทั้งสิ้นและไม่ก่อให้ผู้คัดค้านกลับกลายเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่จะร้องขอให้ศาลถอนผู้จัดการมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1727 วรรคแรก หรือขอให้ตั้งผู้จัดการมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1713 ได้ ส่วนฎีกาของผู้คัดค้านในประการอื่นๆ นั้น บางเรื่องศาลล่างทั้งสองก็ได้วินิจฉัยไว้โดยละเอียดชัดแจ้งแล้วซึ่งต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ศาลฎีกาจึงไม่จำต้องวินิจฉัยซ้ำอีก อีกทั้งบางเรื่องก็เป็นเพียงรายละเอียดปลีกย่อยและเป็นความเห็นส่วนตัวซึ่งไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป ฉะนั้นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามานั้นจึงชอบแล้ว ฎีกาของผู้คัดค้านฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ