คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2794/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เดิมจำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์โดยเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ12 ต่อปีต่อมาจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นพนักงานของโจทก์ได้เข้าเป็นลูกหนี้ร่วมและได้สิทธิลดอัตราดอกเบี้ยลงเหลือร้อยละ 8 ต่อปี ตามระเบียบข้อบังคับของโจทก์ เมื่อข้อบังคับดังกล่าวและบันทึกต่อท้ายสัญญากู้เงินกับสัญญาจำนองมิได้กำหนดให้สิทธิโจทก์ที่จะเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยจากร้อยละ 8 ต่อปีเพราะเหตุที่จำเลยที่ 2 พ้นสภาพการเป็นพนักงานโจทก์ให้ออกจากงานแล้วโจทก์ย่อมไม่มีสิทธิเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยโดยจำเลยมิได้ยินยอม และการที่จำเลยชำระหนี้ให้แก่โจทก์ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 8 ต่อปีโดยไม่ยอมชำระร้อยละ 12 ต่อปีจึงไม่เป็นการผิดสัญญาและไม่เป็นการไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงตามพระราชบัญญัติธนาคารอาคารสงเคราะห์ พ.ศ. 2496 มาตรา 31 (ข)โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องต้นเงินและดอกเบี้ยที่ค้างชำระจากจำเลยคืนทั้งหมด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ กู้เงินโจทก์โดยยอมเสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละ๑๒ ต่อปี จำเลยที่ ๑ ได้นำที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างจดทะเบียนจำนองเป็นประกันต่อมาจำเลยที่ ๒ ภริยาของจำเลยที่ ๑ ซึ่งขณะนั้นเป็นพนักงานของโจทก์ได้ขอเข้าเป็นผู้กู้ร่วมกับจำเลยที่ ๑ เพื่อใช้สิทธิลดอัตราดอกเบี้ยลงเหลือร้อยละ๘ ต่อปี ซึ่งเป็นการสงเคราะห์พนักงานตามข้อบังคับของโจทก์ โจทก์ได้อนุมัติและหลังจากนั้นจำเลยที่ ๑ ได้ทำบันทึกต่อท้ายสัญญากู้แก้ไขอัตราดอกเบี้ยและจดทะเบียนแก้ไขอัตราดอกเบี้ยในสัญญาจำนองเป็นร้อยละ ๘ ต่อปี ต่อมาโจทก์ให้จำเลยที่ ๒ ออกจากการเป็นพนักงานของโจทก์ซึ่งต้องหมดสิทธิได้ลดอัตราดอกเบี้ยและต้องชำระดอกเบี้ยร้อยละ ๑๒ ต่อปี แต่จำเลยทั้งสองยังชำระหนี้ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๘ ต่อปีเรื่อยมา โจทก์แจ้งให้จำเลยทั้งสองชำระดอกเบี้ยที่ค้างและแก้ไขอัตราดอกเบี้ยในสัญญากู้และสัญญาจำนองแต่จำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติโดยยืนยันชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๘ ต่อปีโจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องต้นเงินและดอกเบี้ยคืนได้ทันที โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ทั้งหมดแล้ว จำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติ ขอบังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ต้นเงินทั้งหมดพร้อมดอกเบี้ย ถ้าไม่ชำระให้บังคับจำนอง
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ให้การว่า โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๘ ต่อปีให้เป็นร้อยละ ๑๒ ต่อปีจำเลยที่ ๑ ไม่ได้ผิดนัดชำระหนี้และไม่ได้ค้างชำระดอกเบี้ย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อบังคับธนาคารอาคารสงเคราะห์ ฉบับที่ ๑๑ เรื่องการสงเคราะห์ผู้ปฏิบัติงานในธนาคารและครอบครัว ว่าด้วยการให้กู้เงินพ.ศ. ๒๕๑๘ นั้น เป็นการให้การสงเคราะห์แก่ผู้ปฏิบัติงานในธนาคารและครอบครัวให้เสียดอกเบี้ยสำหรับเงินกู้จากธนาคารตามข้อบังคับร้อยละ ๘ ต่อปีแต่ตามข้อบังคับดังกล่าวไม่ได้กำหนดไว้เลยว่า หากผู้ปฏิบัติงานพ้นสภาพการเป็นผู้ปฏิบัติงานแล้วก็หมดสิทธิที่จะเสียดอกเบี้ยร้อยละ ๘ ต่อปีต้องเสียดอกเบี้ยร้อยละ ๑๒ ต่อปี เมื่อไม่กำหนดไว้ย่อมถือว่าเป็นการให้การสงเคราะห์ตลอดไปแม้จะพ้นสภาพการเป็นผู้ปฏิบัติงานแล้ว เพราะการให้สิทธิกับการหมดสิทธิเป็นคนละเรื่องกัน ทั้งบันทึกต่อท้ายสัญญากู้เงินกับสัญญาจำนองหาได้มีเงื่อนไขการหมดสิทธิเสียดอกเบี้ยร้อยละ ๘ ต่อปีไว้ไม่เมื่อตามข้อบังคับธนาคารอาคารสงเคราะห์ ฉบับที่ ๑๑ และบันทึกต่อท้ายสัญญากู้เงินกับสัญญาจำนองมิได้กำหนดให้สิทธิโจทก์ที่จะเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยจากร้อยละ ๘ ต่อปีกลับไปเป็นร้อยละ ๑๒ ต่อปีเพราะเหตุจำเลยที่ ๒ พ้นสภาพการเป็นผู้ปฏิบัติงานโจทก์จึงไม่มีสิทธิเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยโดยจำเลยมิได้ยินยอมได้ การที่จำเลยชำระหนี้ให้แก่โจทก์ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๘ ต่อปีโดยไม่ยอมชำระร้อยละ ๑๒ ต่อปีจึงไม่เป็นการผิดสัญญาและไม่เป็นการไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงตามพระราชบัญญัติธนาคารอาคารสงเคราะห์ พ.ศ. ๒๔๙๖ มาตรา ๓๑ (ข) โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกต้นเงินและดอกเบี้ยที่ค้างชำระจากจำเลยคืนทั้งหมด
พิพากษายืน

Share