คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5350/2545

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การคัดสำเนา พระราชกฤษฎีกากำหนดไม้หวงห้ามฯ ไว้ตามสถานที่ต่าง ๆ ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ มาตรา 5 นั้น ไม่ใช่องค์ประกอบความผิดข้อหาทำไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต หากแต่เป็นเพียงวิธีการให้พนักงานเจ้าหน้าที่กระทำเพื่อมิให้ผู้หนึ่งผู้ใดโต้แย้งว่ายังไม่ทราบพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวเท่านั้น โจทก์จึงไม่จำต้องบรรยายเรื่องการคัดสำเนา พระราชกฤษฎีกากำหนดไม้หวงห้ามฯ มาในฟ้องด้วย ทั้งการที่โจทก์มิได้บรรยายฟ้องและนำสืบเกี่ยวกับข้อเท็จจริงนี้ ก็หามีผลทำให้จำเลยทั้งห้าไม่ทราบว่าไม้ของกลางเป็นไม้หวงห้ามไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งห้ากับพวกอีก 5 คน ที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้องร่วมกันบุกรุกเข้าไปแผ้วถางและทำไม้ในป่าไร่คอก โดยตัด ฟัน เลื่อย ไม้ยาง ไม้สัก ไม้กอ ไม้แลนบาน ไม้แดงควน ไม้นากบุด และไม้เลือดควาย ซึ่งเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. จำนวน 27 ตัน ปริมาตร 28.83 ลูกบาศก์เมตร แล้วยึดถือครอบครองที่ดินประมาณ 5 ไร่ โดยไม่ได้รับอนุญาต และจำเลยทั้งห้ากับพวกร่วมกันมีไม้หวงห้ามประเภท ก. อันยังมิได้แปรรูปจำนวนดังกล่าวไว้ในครอบครองโดยไม่มีรอยตราค่าภาคหลวงหรือรอยตรารัฐบาลขาย และจำเลยทั้งห้ากับพวกซื้อหรือรับไว้ซึ่งเครื่องเลื่อยยนต์ 1 เครื่อง ราคา 3,000 บาท ซึ่งเป็นของที่มีถิ่นกำเนิดและผลิตในประเทศเยอรมัน อันเป็นของต้องห้ามต้องจำกัด และมีผู้นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงการเสียภาษีศุลกากรอันเป็นการฉ้อค่าภาษีของรัฐบาลที่จะต้องเสียค่าภาษีอากรขาเข้า โดยจำเลยทั้งห้ากับพวกรู้อยู่แล้วว่าเป็นของที่ผู้อื่นลักลอบนำและพาหนีศุลกากรเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากรข้อห้ามข้อจำกัดที่ต้องเสีย 900 บาท รวมราคาของและอากรเข้าด้วยกันจำนวน 3,900 บาท เจ้าพนักงานยึดได้ไม้หวงห้ามดังกล่าว เครื่องเลื่อยยนต์ 1 เครื่อง และรถจักรยานยนต์ 1 คัน ที่ได้มาจากการกระทำความผิด ใช้ในการกระทำความผิด และได้ใช้เป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำความผิดเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 4, 5,6, 7, 11, 54, 69, 73, 74, 74 ทวิ พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 ทวิพระราชบัญญัติให้บำเหน็จการปราบปรามผู้กระทำความผิด พ.ศ. 2489 มาตรา 4, 5, 6,7, 8, 9 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83, 91 ริบของกลาง และจ่ายเงินรางวัลแก่เจ้าพนักงานผู้จับตามกฎหมาย

จำเลยทั้งห้าให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งห้ามีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 11 (ที่ถูกมาตรา 11 วรรคหนึ่ง, 73 วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 จำคุกคนละ 6 ปี และจำเลยที่ 5 มีความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากรพ.ศ. 2469 มาตรา 27 ทวิ ปรับ 15,600 บาท รวมจำคุกจำเลยที่ 5 มีกำหนด 6 ปี และปรับ 15,600 บาท จำเลยทั้งห้าให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 คงจำคุกจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 คนละ 4 ปี จำเลยที่ 5จำคุก 4 ปี และปรับ 10,400 บาท ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29, 30 ริบไม้และเครื่องเลื่อยยนต์ของกลางจ่ายเงินรางวัลแก่เจ้าพนักงานผู้จับตามกฎหมาย คำขอและข้อหาอื่นให้ยก

จำเลยทั้งห้าอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน

จำเลยทั้งห้าฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัย “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้องนายดาบตำรวจพีระ ศิริมังคะโล กับพวกจับกุมจำเลยทั้งห้าและยึดได้ไม้ยาง ไม้สัก ไม้กอ ไม้แลนบาน ไม้แดงควน ไม้นากบุด ไม้ชวดและไม้เลือดควาย ซึ่งเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. 27 ตัน ปริมาตร 28.83 ลูกบาศก์เมตร กับเครื่องเลื่อยยนต์1 เครื่อง ซึ่งเป็นของที่มีถิ่นกำเนิดและผลิตในประเทศเยอรมันอันเป็นของต้องห้ามต้องจำกัด และมีผู้นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากร และจำเลยที่ 5 รับไว้โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นของผู้อื่นลักลอบนำและพาหนีศุลกากรเข้ามาในราชอาณาจักรดังกล่าวเป็นของกลาง ที่จำเลยทั้งห้าฎีกาว่า โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องและนำสืบว่าได้คัดสำเนาพระราชกฤษฎีกากำหนดไม้หวงห้าม พ.ศ. 2530 ไว้ตามสถานที่ต่าง ๆ ที่ระบุไว้ในพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 5 ซึ่งเป็นองค์ประกอบความผิด ทำให้จำเลยทั้งห้าไม่ทราบว่าไม้ของกลางเป็นไม้หวงห้ามนั้น เห็นว่า การคัดสำเนาพระราชกฤษฎีกาไว้ตามสถานที่ต่าง ๆ ดังกล่าวไม่ใช่องค์ประกอบความผิดข้อหาทำไม้โดยไม่ได้รับอนุญาตหากแต่เป็นเพียงวิธีการให้พนักงานเจ้าหน้าที่กระทำเพื่อมิให้ผู้หนึ่งผู้ใดโต้แย้งว่ายังไม่ทราบพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวเท่านั้น โจทก์จึงไม่จำต้องบรรยายเรื่องการคัดสำเนาพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวมาในฟ้องด้วย และการที่โจทก์มิได้บรรยายฟ้องและนำสืบเกี่ยวกับข้อเท็จจริงนี้หาได้มีผลทำให้จำเลยทั้งห้าไม่ทราบว่าไม้ของกลางเป็นไม้หวงห้ามไม่ พยานหลักฐานของจำเลยทั้งห้าไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ ศาลฎีกาเชื่อว่าจำเลยทั้งห้าร่วมกับพวกตัดฟันเลื่อยไม้ของกลางโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงมีความผิดข้อหาทำไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต ฎีกาของจำเลยทั้งห้าฟังไม่ขึ้น แต่ข้อเท็จจริงน่าเชื่อว่าจำเลยทั้งห้ากับพวกกระทำการดังกล่าวเพื่อทำถนนใช้เป็นทางสัญจรได้สะดวก โทษที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดมานั้นหนักเกินไป สมควรกำหนดเสียใหม่ให้เหมาะสมกับการกระทำความผิด”

พิพากษาแก้เป็นว่า สำหรับข้อหาความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484มาตรา 11 วรรคหนึ่ง, 73 วรรคสอง ให้ลงโทษจำคุกคนละ 3 ปี เมื่อลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คนละหนึ่งในสามแล้ว คงจำคุกคนละ 2 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8

Share