แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำฟ้องของโจทก์มีรายการครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด ย่อมเป็นคำฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมาย แม้ทนายโจทก์จะไม่ระบุเลขที่ใบอนุญาตว่าความไว้ในคำฟ้องเนื่องจากความหลงลืม แต่ทนายโจทก์ก็ได้ยื่นใบแต่งทนายความซึ่งระบุเลขใบอนุญาตว่าความของตนไว้ต่อศาลขณะยื่นคำฟ้องซึ่งจำเลยสามารถที่จะตรวจสอบความสามารถและอำนาจในการดำเนินคดีของทนายได้อยู่แล้ว และการที่ทนายโจทก์ลงลายมือชื่อในสำเนาคำฟ้องในช่องผู้เขียนหรือพิมพ์ แตกต่างจากในคำฟ้องที่ทนายโจทก์ลงลายมือชื่อในช่องผู้เรียงและพิมพ์ หาทำให้คำฟ้องของโจทก์กลับกลายเป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์แต่อย่างใดไม่
ศาลชั้นต้นชี้สองสถานกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า โจทก์รับโอนที่พิพาทมาโดยสุจริต และเสียค่าตอบแทนหรือไม่ โจทก์เป็นผู้มีชื่อในทะเบียนจึงได้รับประโยชน์ตามข้อสันนิษฐานของกฎหมาย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1373 ภาระการพิสูจน์ตกอยู่แก่จำเลยและเนื่องจากประเด็นนี้เป็นประเด็นสำคัญกว่าทุกประเด็น จึงให้จำเลยนำสืบก่อนทุกประเด็นแล้วให้โจทก์สืบแก้ เมื่อจำเลยมิได้โต้แย้งการกำหนดประเด็นหน้าที่นำสืบของศาลชั้นต้นดังกล่าว จำเลยจะมาเถียงในชั้นฎีกาว่าโจทก์เป็นฝ่ายมีหน้าที่นำสืบไม่ได้
การที่จำเลยซื้อที่ดินซึ่งเกิดที่งอกริมตลิ่ง จำเลยย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่ส่วนที่เกิดที่งอกด้วยโดยผลของกฎหมาย ส่วนเจ้าของที่ดินเดิมพ้นจากการเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งหมดที่เคยมีอยู่ แม้ว่าเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินเดิมจะได้ขอออกโฉนดในที่ดินส่วนที่เป็นที่งอกไว้และต่อมาได้รับโฉนดในภายหลังแล้วโอนขายให้โจทก์ โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับโอนย่อมไม่มีสิทธิดีไปกว่าผู้โอน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและบริวาร ให้จำเลยรื้อถอนรั้วกับสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ ออกไปจากที่ดินของโจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ ๑๐๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนรั้ว
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยและบริวารรื้อถอนรั้วกับสิ่งปลูกสร้างและออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๙๗๓๐ ตำบลบางคอแหลม (บ้านทวาย) อำเภอยานนาวา (บางรัก) กรุงเทพมหานคร ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ ๕,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนรั้วกับสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ ออกไปจากที่ดินของโจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความรวม ๖,๐๐๐ บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว ที่จำเลยฎีกาว่าคำฟ้องของโจทก์ไม่สมบูรณ์นั้น เห็นว่า เมื่อคำฟ้องของโจทก์มีรายการครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนดแล้ว ย่อมเป็นคำฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมาย การที่สำเนาคำฟ้องของโจทก์ที่ส่งให้จำเลย ทนายโจทก์ลงลายมือชื่อในช่องผู้เขียนหรือพิมพ์แทนที่จะลงลายมือชื่อในช่องผู้เรียงและพิมพ์ก็น่าจะเป็นเรื่องของความผิดพลาดดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมา หาใช่เป็นข้อสาระสำคัญแต่อย่างใดไม่ ส่วนที่ทนายโจทก์ไม่ได้ระบุเลขที่ใบอนุญาตว่าความไว้ในคำฟ้องและสำเนาคำฟ้องที่ส่งให้จำเลยก็อาจจะเนื่องจากความหลงลืม แต่อย่างไรก็ตามทนายโจทก์ก็ได้ยื่นใบแต่งทนายความซึ่งระบุเลขใบอนุญาตของตนไว้ต่อศาลขณะยื่นคำฟ้อง ซึ่งจำเลยสามารถที่จะตรวจสอบความสามารถและอำนาจในการดำเนินคดีของทนายโจทก์ได้อยู่แล้ว จากกรณีดังกล่าว หาทำให้คำฟ้องของโจทก์กลับกลายเป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ตามกฎหมายแต่อย่างใดไม่ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์เป็นผู้กล่าวอ้างข้อเท็จจริง หน้าที่นำสืบตกอยู่กับโจทก์ เมื่อโจทก์นำสืบให้เห็นชัดเจนไม่ได้ ข้ออ้างของโจทก์จึงรับฟังไม่ได้นั้น เห็นว่า ศาลชั้นต้นชี้สองสถานกำหนดประเด็นนี้ไว้ชัดเจนว่า โจทก์เป็นผู้มีชื่อในทะเบียนจึงได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานของกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๗๓ ภาระการพิสูจน์ตกอยู่แก่จำเลยและเนื่องจากประเด็นนี้เป็นประเด็นสำคัญกว่าทุกประเด็น จึงให้จำเลยนำสืบก่อนทั้งหมดแล้วให้โจทก์นำสืบแก้ เมื่อจำเลยมิได้โต้แย้งการกำหนดประเด็นหน้าที่นำสืบของศาลชั้นต้นดังกล่าว จำเลยจะมาเถียงในชั้นฎีกาว่าโจทก์เป็นฝ่ายมีหน้าที่นำสืบไม่ได้ ในข้อที่ว่าโจทก์สุจริตเสียค่าตอบแทนหรือไม่ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ส. โอนขายที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๐๗๓๔ อันเป็นที่ดินแปลงเดิมที่เกิดที่งอกให้แก่บริษัท บ. เมื่อปี ๒๕๑๙ ตั้งแต่ยังไม่ได้รับโฉนดของที่งอกที่ขอออกไว้ ขณะที่โอนที่ดินแปลงเดิมไปนั้น ที่งอกริมตลิ่งเริ่มเกิดมีขึ้นแล้ว การเกิดมีที่งอกขึ้นมาในที่ดินย่อมจะต้องเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๐๘ ที่บัญญัติว่า “ที่ดินแปลงใดเกิดที่งอกริมตลิ่ง ที่งอกย่อมเป็นทรัพย์สินของเจ้าของที่ดินแปลงนั้น” เมื่อที่ดินแปลงที่เกิดที่งอกได้โอนให้บริษัท บ. ไปแล้วในระหว่างนี้ ด้วยความสมัครใจของ ส. เอง ที่ดินส่วนที่เป็นที่งอกย่อมตกติดไปเป็นของผู้ซื้อ โดยผลของบทกฎหมายดังกล่าว ส. พ้นจากการเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งหมดที่เคยมีอยู่ ทั้งที่ดินแปลงเดิมที่เกิดมีที่งอก และที่ดินส่วนที่เป็นที่งอกไปจนหมดสิ้น แม้ว่าต่อมาในปี ๒๕๒๒ ได้มีการออกโฉนดสำเร็จบริบูรณ์เป็นชื่อของ ส. ก็ไม่ทำให้ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนที่เป็นที่งอกนั้นไป และไม่มีอำนาจที่จะขายที่ดินส่วนที่เป็นที่งอกให้โจทก์ โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีไปกว่า ส. ผู้โอน และเมื่อจำเลยรับโอนที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๐๗๓๔ อันเป็นที่ดินแปลงที่เกิดที่งอกริมตลิ่งจากเจ้าของเดิมมาโดยถูกต้อง ทำให้ได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่งอกนั้นด้วยโดยผลของกฎหมาย คดีไม่จำต้องวินิจฉัยว่าโจทก์สุจริตและเสียค่าตอบแทนหรือไม่ เนื่องจากไม่ทำให้รูปคดีเปลี่ยนแปลง และประเด็นเรื่องการครอบครองปรปักษ์ของจำเลยในที่งอกดังกล่าว ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะเป็นที่ดินของตนเอง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยเป็นฝ่ายแพ้คดีนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาข้อสุดท้ายของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความรวม ๘,๐๐๐ บาท.